Documentation of Oct 6

ตำรวจพลร่ม: เขาใช้ทีมปฏิบัติการสงครามลับกับนักศึกษาประชาชนเมื่อ 6 ตุลา

ผู้ที่สนใจเรื่อง 6 ตุลาต่างทราบดีว่ากำลังหลักที่ใช้ในการปราบปรามนักศึกษาประชาชนเมื่อวันที่ 6 ตุลา ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้นคือตำรวจ ไม่ใช่ทหาร  ประกอบด้วยตำรวจหน่วยปราบจลาจลหรือหน่วยคอมมานโด, ตำรวจจากสถานีตำรวจต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ, แผนกอาวุธพิเศษหรือหน่วยสวาท, สันติบาล, กองปราบฯ, ตำรวจตระเวนชายแดน และตำรวจพลร่มจากค่ายนเรศวร หัวหิน จ. ประจวบคีรีขันธ์

ในบรรดาหน่วยเหล่านี้ หน่วยที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดน่าจะเป็น “หน่วยตำรวจพลร่ม” (the Royal Thai Police Aerial Reinforcement Unit – PARU)  ชื่อทางการในปัจจุบันคือ “กองกำลังสนับสนุนทางอากาศตำรวจตระเวนชายแดน” แต่หน่วยพลร่มไม่ใช่ตชด.ทั่ว ๆ ไป ไม่ได้ทำหน้าที่แค่กระโดดร่มเท่ๆ แต่เป็นหน่วยพิเศษที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อปฏิบัติการลับในสงคราม ก่อตั้งขึ้นมาด้วยฝีมือและแนวคิดของซีไอเอล้วน ๆ

จากคำให้การของ ส.ต.ท.อากาศ ชมพูจักร หนึ่งในตำรวจพลร่มและพยานฝ่ายโจทก์ในคดี 6 ตุลา (https://doct6.com/archives/1637) ระบุว่าอาวุธที่ตำรวจพลร่มขนมาที่ธรรมศาสตร์ ได้แก่ เอ็ม 16  เอ็ชเค.33  เครื่องยิงระเบิด M79 และปืน ปรส. (ปืนไร้แสงสะท้อนหลัง – คืออาวุธปืนในภาพที่มีคนแบกอยู่กับอาวุธปืนที่ติดกล้องเล็งขนาดใหญ่ ที่เล็งยิงจากด้านพิพิธภัณฑ์สถาน)  ในเช้าวันที่ 6 ตุลาตำรวจพลร่มประมาณ 40 คนถูกส่งมาที่ธรรมศาสตร์ จำนวนที่ไม่มากมายนี้คือสิ่งที่ชี้ว่าถึงจะเป็นหน่วยเล็กแต่พิษสงร้ายแรงยิ่งนัก

ตำรวจพลร่มเป็นหน่วยรบที่ถือกำเนิดขึ้นตั้งแต่รัฐบาลจอมพล ป. ภายใต้ การสนับสนุนทั้งด้านการเงินและการฝึกฝนจากซีไอเอ มีความเชี่ยวชาญระดับสูงในการรบแบบสงครามกองโจร โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าเขาทุรกันดารที่ไม่มีระบบขนส่งสำหรับขนอาวุธหนักและกำลังพลจำนวนมากเข้าไปได้ สมาชิกของหน่วยนี้จึงต้องมีความอดทนในการใช้ชีวิตในป่าได้เป็นเวลานาน เข้าสู่พื้นที่ด้วยการกระโดดร่มชูชีพ เชี่ยวชาญการใช้อาวุธทุกชนิด สามารถแฝงตัวเข้าไปในชุมชนและเข้าใจภาษาของคนท้องถิ่นเพื่อสามารถสืบความลับได้ด้วย แต่ละทีมประกอบด้วยกำลังคน 5 หรือ 10 คน และจะต้องมีคนที่ฝึกจนเชี่ยวชาญด้านระบบสื่อสารวิทยุติดต่อและการแพทย์เพื่อช่วยชีวิตของทีมด้วย แต่ตำรวจพลร่มในยุคจอมพล ป. ก็ยังไม่เคยสำแดงฝีมือจริง ๆ  จนกระทั่งเกิดวิกฤติการณ์ในลาวในปี 2503

ในปี 2503 เมื่อนายทหารหนุ่มชื่อร้อยเอก กองแล ทำรัฐประหารและยึดเวียงจันทน์จากรัฐบาลฝ่ายขวาของลาวที่นำโดยนายพล ภูมี หน่อสะหวัน (ลูกพี่ลูกน้องของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์) ได้สำเร็จ แม้ว่าฝ่ายนายพลภูมีจะมีกำลังทหารและอาวุธที่ดีกว่าเพราะได้รับการสนับสนุนจากซีไอเอแต่ก็ไม่สามารถยึดเวียงจันทน์คืนได้ ซีไอเอและไทยตระหนักว่าหนทางเดียวที่จะช่วยฝ่ายขวาในลาวให้ยึดเวียงจันทน์คืนได้คือ ต้องส่งกองกำลังต่างชาติเข้าไปช่วยเพราะทหารลาวลุ่มขาดระเบียบวินัยและเจตจำนงในการรบ

ซีไอเอและรัฐบาลสฤษดิ์เห็นตรงกันว่าหน่วยพลร่มของไทยมีความเหมาะสมสำหรับปฏิบัติการลับในลาวครั้งนี้ กล่าวคือ ในทางปฏิบัติมีแต่ไทยเท่านั้นที่แสดงความยินดีที่จะส่งทหารเข้าไปปฏิบัติภารกิจในลาว แต่หากไทยทำเช่นนั้นอย่างเปิดเผยก็จะถูกประณามจากนานาชาติว่ากำลังแทรกแซงกิจการของลาว และอาจทำให้ไทยถูกตอบโต้จากจีนและเวียดนามเหนือได้ ขณะที่สหรัฐฯก็ไม่ต้องการส่งทหารของตนเข้าไปช่วยฝ่ายภูมีเพราะจะถูกประณามจากนานาชาติเช่นกัน จุดนี้นำไปสู่ข้อตกลงลับระหว่างซีไอเอและรัฐบาลสฤษดิ์ ในการก่อตั้งปฏิบัติการลับในลาวด้วย “หน่วยตำรวจพลร่ม” ของไทย และทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการทหารให้กับกองกำลังของภูมี โดยมี นายทหารอเมริกัน เจมส์ วิลเลียม แลร์ (James William Lair) หรือ บิล แลร์ (Bill Lair) และพันตำรวจตรีประเนตร ฤทธิฦๅชัย ผู้บังคับบัญชาหน่วยพลร่ม  เป็นผู้ควบคุมดูแลปฏิบัติการนี้

ปฏิบัติการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทยเป็น “ฝ่ายให้” ความช่วยเหลือทางทหารแก่ประเทศอื่น โดยก่อนหน้านี้ไทยเป็นผู้รับมาโดยตลอด เพียงแต่การให้นี้เปิดเผยไม่ได้ เพราะเท่ากับไทยกำลังละเมิดสนธิสัญญาสันติภาพเจนีวาปี 1954 ที่ห้ามกองกำลังต่างชาติเข้าไปตั้งในลาว

ฉะนั้น เจ้าหน้าที่ของไทยทุกคนที่เข้าร่วมในปฏิบัติการลับในลาวจะต้องยื่นใบลาออกจากราชการก่อนเดินทางเข้าสู่ลาว เพื่อป้องกันการถูกกล่าวหาว่ารัฐบาลอยู่เบื้องหลัง หากพวกเขามีชีวิตรอดจากภารกิจเหล่านี้ ใบลาออกดังกล่าวก็จะถูกทำลาย และจะไม่ปรากฏประวัติว่าเคยเข้าร่วมในปฏิบัติการนี้  ในที่สุด หน่วยพลร่มสามารถช่วยให้ฝ่ายภูมีสามารถยึดเวียงจันทน์คืนจากฝ่ายกองแลได้สำเร็จในวันที่ 18 ธันวาคม 2503/1960 แม้ว่าฝ่ายกองแลจะได้รับอาหารและอาวุธจากสหภาพโซเวียต แต่ปฏิบัติการลับนี้ไม่สามารถเป็นความลับได้จริง ทั้งรัฐบาลจีนและเวียดนามได้ออกมากล่าวประณามการแทรกแซงของไทยและซีไอเอ

ซีไอเอและหน่วยพลร่มของไทยยังมีบทบาทสำคัญในการฝึกและจัดตั้งกองกำลังชาวม้งภายใต้การนำของนายพลวังเปา ซึ่งเป็นกองกำลังที่เข้มแข็งกว่าฝ่ายขวาลาวอื่น ๆ เพื่อต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์อีกด้วย

อันที่จริง การปราบปรามนักศึกษาประชาชนด้วยกำลังตำรวจธรรมดาก็น่าจะเกินพอแล้ว อีกทั้งยังมีหน่วยสวาทและตระเวนชายแดนที่คุ้นเคยกับการใช้อาวุธสงคราม แต่การเรียกใช้กองกำลังที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำสงครามลับและมีความสามารถในการสังหารขั้นสูงในภารกิจปราบปรามนักศึกษาประชาชนในเช้าวันที่ 6 ตุลานี้ บอกเราถึงระดับความโหดเหี้ยมของฝ่ายขวาไทยในขณะนั้นได้ชัดเจนทีเดียว