(พิมพ์ครั้งแรก คณะกรรมการบัณฑิต ๒๕๒๖ . วันนี้ยังไม่ใช่ชัยชนะ . กรุงเทพ , ๒๕๒๖)
ผมใส่ชุดสุภาพที่สุดเท่าที่จะสุภาพได้ เสื้อขาวสะอาดรีดเรียบร้อยสอดในกางเกงขายาวสีดำสนิท เดินถือใบเกรดภาคสุดท้ายเท่าที่เคยเรียน หมายถึง ภาคหนึ่งปีการศึกษา ๒๕๑๙ พยายามสำรวมจนเกร็งเพื่อไม่ให้มือสั่นเทา เข้าไปในห้องเลขานุการคณะ
“สวัสดีครับ ผมมาขอคืนสภาพนักศึกษา”
เจ้าหน้าที่คณะเป็นสตรีวัยย่างเข้ากลางคน เหลียวขวับมามองดูผมด้วยท่าทีสนใจ เธอหยิบใบเกรดภาคสุดท้ายของผมไปอ่าน อุทานออกมาเบา ๆ กับเพื่อนร่วมงานของเธอว่า “เกรดดีนี่”
“กรุณารออีกสัปดาห์หนึ่ง ค่อยมาตามผลนะคะ เราต้องทำเรื่องขออนุมัติจากที่ประชุมคณบดี”
ผมถอนหายใจยาว เดินออกมาสูดอากาศยามเช้าข้างนอก รู้มาจากเพื่อนว่าทางการมีนโยบายพิเศษต่อนักศึกษาคืนสภาพของธรรมศาสตร์ ไม่ต้องไปให้ทางสันติบาลหรือกอ.รมน.สอบสวนต่อ
………………………………
ห้องบรรยายจุนักศึกษาแน่นขนัดกว่าร้อยคน เพราะเป็นวิชาบังคับ ผมยังไม่คุ้นต่อบรรยากาศเก่า ๆ ของมันนัก พยายามหลบไปนั่งมุมห้องอย่างเก้ ๆ กังๆ หวังว่าคงไม่เป็นที่ผิดสังเกตของใคร ๆ อาจารย์ผู้ใหญ่ รูปร่างท้วมขาว ท่าทางใจดีเดินเข้าห้องมาหยอกล้อนักศึกษาอย่างกันเองแล้วเริ่มถามคำถาม
“การปฏิวัติคืออะไร?” “คุณ…..เอ้อ…..๒๓๓๐๓๑ ตอบที”
คำตอบยังไม่เป็นที่ถูกใจ อาจารย์ท่านนั้นเรียกใหม่
“คุณ ๑๘๙๔๒๐ ลองตอบหน่อย”
ใจผมเต้นตูมตามยิ่งกว่ารัวกลอง ลุกขึ้นยืนด้วยความขัดเขินท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ที่เหลียวขวับมาจับจ้องนักศึกษาโข่งอย่างผมด้วยความแปลกใจเป็นจุดเดียว ผมสูดหายใจลึก ๆ ตอบไปตามความถนัดเป็นสูตรว่า
“การปฏิวัติ คือ การลุกฮือขึ้นต่อสู้โค่นล้มอำนาจรัฐของมวลชนด้วยกำลังรุนแรง….”
………………………………
หญิงสาวสวยนั่งอยู่เบื้องหน้าผมเคยเป็นเด็กรุ่นน้อง เป็นคนที่ผมรักและปัจจุบันเธอเป็นอาจารย์ท่านหนึ่งในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมมองดูเธอรับเอาใบเกรดภาคแรกหลังการกลับมาของผมไปอ่านอย่างหวาด ๆ อาย ๆ
“ทำไมคราวนี้พี่ได้ C ล่ะ วิชาการเมืองการปกครองไทยเสียด้วย เป็นไปได้ยังไง?”
ใช่ มันไม่น่าเป็นไปได้ เป็นเกรด C ตัวแรกที่ผมได้ในชีวิต ผมเคยได้เกรด ๔ ในบางภาค และไม่เคยต่ำกว่า B ในทุกวิชา ผมอึก ๆ อัก ๆ จะตอบเธอว่าอย่างไรดีนะ เธอจึงจะเข้าใจได้ว่าโลกทัศน์การเมืองของผมมันแปลกแยกจากเนื้อหาที่อาจารย์สอนไปนาน นานจนผมปรับตัวปรับความคิดไม่ทัน
เพื่อนของเธอเดินเข้ามาทักทายขัดจังหวะการสนทนาได้สวยพอดี ผมไม่ต้องตอบคำถามยาก ๆ ของเธอ แต่กลับต้องตอบคำถามยากยิ่งกว่าของเพื่อนเธอ ซึ่งถามว่า ผมเรียนที่ไหน
“คณะรัฐศาสตร์ ครับ”
“ปริญญาโทสินะคะ?”
ผมไม่ชอบการโกหก แต่พระเจ้าโปรดจะให้ผมตอบว่าอย่างไรอื่นได้ ผมกลัวคำถามที่จะตามมาเป็นพรวนของเธอยิ่งกว่ากลัวการโกหกเสียแล้วอย่างน้อยก็เพื่อรักษาหน้าตาของคนที่ผมรัก
เพื่อนของเธอจากไปพร้อมกับการถอนหายใจอย่างโล่งอกของผม คนรักของผมซักไซ้ถึงความลำบากนานัปการที่ผมเผชิญอยู่ แล้วยัดเยียดเงินพันบาทมาให้ในมือ
“เอาไว้เป็นค่าหน่วยกิตนะคะพี่”
ผมสะอึกตื้นตันมาในลำคอ อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา
………………………………
พวกเรา – นักศึกษาคืนสภาพหลายคน – นั่งดื่มน้ำหวานแกล้มขนมอยู่ในโรงอาหารริมแม่น้ำ รุ่นพี่ของผมคนที่อ้วนท้วนเหมือนเดิม แต่ไม่เหมือนเดิมทั้งชื่อ นามสกุล ทรงผมและความคิดเปรยขึ้นว่า
“อั๊วล้างมือแล้ว หมดจด อั๊วเกิดใหม่แล้ว ไม่มีอดีตอะไรอีกแล้ว”
บางคนที่ยังฝังใจกับอดีตหยิบยกเรื่องสถานที่ที่เราเพิ่งจากมาขึ้นมาเป็นประเด็นพูดคุย การอภิปรายเริ่มร้อนแรงจากพูดคุยเบา ๆ เป็นถกเถียงตัดบทประชดประชันด้วยน้ำเสียงบาดแก้วหู ฝ่ายหนึ่งว่าดำ ฝ่ายหนึ่งว่าขาว ไม่มีใครพูดถึงสีเทา
วงแตกก็เพราะสีต่างกันเกินไป นับแต่นั้นเราคุยกันได้แต่เรื่องงาน การทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และหาเงินเป็นค่าหน่วยกิต เป็นเรื่องเดียวที่พูดกันรู้เรื่อง สำหรับ “การเมือง” มันเจ็บเกินไป
………………………………
ผมหยิบหนังสือปกแข็งสีดำ เก่าคร่ำคร่าออกมาจากชั้นวางหนังสือของห้องสมุด ดูเหมือนใครมาลืมทิ้งไว้ตั้งแต่ทศวรรษก่อนมากกว่าจะถูกเรียงด้วยมือบรรณารักษ์ ตัวอักษรภาษาอังกฤษข้างในมีรอยขีดเส้นใต้เขียนแสดงความเห็นของผู้อ่านด้วยดินสอตัวเล็ก ๆ เลือนราง ผมพลิกไปดูปกหลังอ่านชื่อคุ้นหูของคนที่เคยยืมมันไปอ่าน
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล
สมเกียรติ วันทะนะ
ผมถือมันไปหามุมเหมาะ ๆ อ่านอย่างสงบ แต่ห้องสมุดกับความสงบในยุคนี้ดูจะไม่ไปด้วยกัน นักศึกษาสาวคนหนึ่งหอบการ์ตูน “โดเรมอน” ปึกเบ้อเริ่มมานั่งอ่านติดกับผม ไม่นานเพื่อนเธอก็ตามมาเป็นฝูง ดูเหมือนความกระหายอ่านของผมจะเทียบไม่ติดความกระหายคุยของคุณเธอ เธอคุยกันเรื่องโจวเหวินฟะ….นพพล โกมารชุน….แกรนด์เอ็กซ์ และ ฯลฯ
ผมคว้าหนังสือเดินกระแทกส้นลงไปชั้นล่างอย่างหงุดหงิดเปิดบัตรยืมหนังสือออก เตรียมจะกรอกเลขทะเบียนหนังสือลงไป แต่ให้ตายสิผมยืมครบห้าเล่มเสียแล้ว
………………………………
ห้องบรรยายขนาดย่อมวันนี้ จบลงด้วยบรรยากาศของห้องสัมมนา ผมตอบคำถามได้ค่อนข้างคล่องแคล่วกว่าเพื่อนนักศึกษา(หรือน้อง ๆ)คนอื่น ๆ อาศัยจากที่ไปอ่านพิเศษนอกเหนือจากที่อาจารย์กำหนดมามาก เลิกชั้นแล้วผมเดินเข้าห้องน้ำชาย โดยบังเอิญนักศึกษาชายสองคนที่ออกจากชั้นเดียวกันเดินตามเข้ามาในห้องน้ำ พวกเขาคุยกันเสียงดังพอที่ผมจะได้ยินว่า
“พี่คนนั้นใครวะ”
“อ๋อ รุ่นพี่เก่า เขาว่าแกไปเรียนอินเดียแล้วกลับมา แต่กูไม่แน่ใจน่าจะออกจากป่ามากกว่า เรียนเก่งฉิบหาย เทอมที่แล้วได้เกรด ๔ แน่ะ”
ผมเดินออกจากห้องน้ำมาก่อน ตั้งใจว่าจะเอาใบเกรดไปให้คนรักผมดู อย่างน้อยผมก็ไม่ได้ใช้เงินค่าหน่วยกิตที่เธอให้ผมมาอย่างไม่คุ้มค่า
………………………………
สงครามฟอล์คแลนด์ระหว่างอังกฤษกับอาร์เจนตินาทำให้คณะคึกคักขึ้นอีกครั้ง อาจารย์ นักศึกษา แออัดเต็มห้องประชุมเพื่อฟังการอภิปรายทางวิชาการเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้ ผมปรี่เข้าไปนั่งเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ยังว่างอยู่ ล้วงกระดาษ ปากกา ออกมาเตรียมจดเนื้อหาการอภิปราย แต่คำอภิปรายปลุกสำนึกผมจนเกินกว่าจะจดมันลงได้ ผมเขียนบทกลอนลงไปแทนด้วยแรงบันดาลใจจากคำอภิปรายของอาจารย์ท่านหนึ่ง ผมเอาบทกลอนดังกล่าวไปสอดไว้หน้าห้องอาจารย์ท่านนั้น ตอนหนึ่งของมันความว่า
“แล้วใครที่สวดอ้อนวอนพระเจ้า ถึงญาติมิตรของเขาด้วยเสียขวัญ
ใครท้องกิ่วหิวอดหดหู่ครัน ใครนอนกลัวตัวสั่นสุดข่มตา
ใครเฝ้าครุ่นคำนึงถึงลูกผัว ใครร้องไห้เมื่อเสียหัวทหารกล้า
ประชาชน….ประชาชนธรรมดา ผู้ไหล่บ่าแบกหาบบาปสงคราม”
มิตรภาพล้ำค่าระหว่างผมกับอาจารย์ท่านนั้นเริ่มขึ้นด้วยกลอนบทนี้
………………………………
ออกจะเป็นเกียรติที่ขัดเขินอยู่บ้าง ที่ผมได้รับเชิญเป็นคู่สนทนากับอาจารย์ท่านหนึ่งในห้องสัมมนาวิชาทฤษฎีการเมือง หัวข้อของเราคือความคิดสังคมนิยม แว่วมาว่านักศึกษาบางคนหมั่นไส้ผมที่ได้รับเกียรติอันไม่สมควรจะได้เช่นนี้ จนไม่ยอมเข้าชั้นวันนั้น แต่ก็มีนักศึกษาอีกบางคนมาเข้าชั้นโดยไม่ได้ลงเรียน การพูดคุยอาจจะพิสดารไปมาก ผมต้องตอบคำถามที่ยิงมาเป็นชุด ๆ อย่างพะอืดพะอมพอสมควร เพราะก็ไม่ได้รู้มากวิเศษวิโสอะไร ใกล้จะจบนักศึกษาคนหนึ่งก็ถามผมขึ้นว่า
“พี่คิดจะเข้าป่าอีกไหม?”
หะ…หะ, หะ….หะ
………………………………
ว่าจะไม่แล้วเชียว แต่โลกก็หมุนพาผมมายังที่ที่ผมไม่คิดจะมาอีกจนได้ การถึงแก่อนิจกรรมของท่านผู้ประศาสน์การและงานธรรมศาสตร์ ๔๙ ปี ทำให้ผมต้องลงมือทำกิจกรรมและจับไมโครโฟนอีกบนเวทีที่ไฟส่องหน้าจนมองไม่เห็นคนดูเรือนพันข้างล่างชัดตา ผมพูดถึงท่านปรีดี , ๑๔ ตุลา , ๖ ตุลา และธรรมศาสตร์ ด้วยความบริสุทธิ์ใจในฐานะชาวธรรมศาสตร์คนหนึ่ง ข้างล่างเวทีเงียบกริบขณะผมพูดไป พูดไป เหมือนเพ้อเจ้อพูดอยู่คนเดียวจนจบนั่นแหละจึงได้ยินเสียงปรบมือของผู้คน จนไฟสว่างนั่นแหละจึงเห็นเพื่อนบางคนแอบเช็ดน้ำตา
ผมคืนสภาพนักศึกษามาได้ ๒ ปีแล้ว แต่ผมรู้สึกว่าในวันที่ผมเห็นเพื่อนเช็ดน้ำตานั่นเอง ที่ผมได้คืนสภาพเป็นตัวผมอีกครั้งหนึ่ง
………………………………
“ที่รัก”
คงไม่ต้องบอกว่าตั้งแต่คุณจากมาเรียนต่อ ผมคิดถึงคุณเพียงใดในช่วงปีกว่าที่ผ่านมา เกิดเรื่องราวกับผมมากมาย ผมได้ทำกิจกรรมจำนวนหนึ่ง รู้จักผู้คนอีกมาก ที่สำคัญผมค้นพบตัวตนของผมที่สูญหายไปในความสับสนหลงทางอีกครั้ง
ชะตาชีวิตเล่นตลกกับผมเหลือเกิน นับดูสิบปีที่ผ่านมา เรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตผม มันพิศวง พิสดาร ขึ้น ๆ ลง ๆ จนเกินความคาดหมาย เมื่อผมเป็นนักศึกษาปีหนึ่ง ผมไม่เคยคิดว่าจะเข้าป่าเป็นคอมมิวนิสต์ เหตุการณ์ลากผมถูลู่ถูกังเข้าไป และเมื่อเข้าไปผมไม่เคยคิดว่าจะออกมาจนกว่าจะได้ชัยชนะ ผมทำสงครามจนลืมไปว่า โอกาสแพ้ในทุกสงครามมีเท่ากับโอกาสชนะ และผมก็กลับออกมาอย่างผู้พ่ายแพ้ ที่สำคัญเป็นผู้พ่ายแพ้ที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้จักตัวเอง กินเวลาอีกนานทีเดียว – ๓ ปี – กว่าที่ผมจะตระหนักว่าตัวเองเป็นใคร ไม่เป็นใคร และควรจะเป็นใคร
โกหกถ้าจะบอกว่าชีวิตผมได้กำไรอย่างเดียว ต้นทุนที่ทุ่มไปนั้นขาดหายไปไม่น้อย เวลา , โอกาส ฯลฯ หลุดลอยไปจากชีวิตอันเริ่มเยาว์ของผมเหมือนกับว่าวที่ขาดลอยไปในท้องฟ้า แต่จะโทษใคร ในเมื่อผมปล่อยมันไปเองอย่างตั้งใจ หน้าที่ของคนที่ผิดพลาด คือ ยอมรับความผิดพลาด แต่ไม่ใช่ทุกอย่าง ไม่ใช่ทั้งหมด ผมหมายถึงเฉพาะที่เรารับผิดชอบเท่านั้น มีหลายอย่างที่คนที่ผิดพลาดถูกโยนบาปเป็นกระโถนท้องพระโรง และก็มีอีกหลายคนที่ยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน ผมไม่
ถ้าเราจะเอาชีวิตมาวัดเทียบกันกับใครสักคน – อาจเป็นผม – ที่ไม่ต้อง “คืนสภาพ” เพื่อถามว่า เสียใจไหม? ผมขอหัวเราะ ขอร้องไห้ ขอหัวเราะอีกที เพื่อตอบดัง ๆ ว่า ไม่ ไม่เสียใจเด็ดขาด เพราะว่าสิ่งที่ผมได้มา ไม่ใช่เพียงประสบการณ์ที่นายทุนร้อยล้านก็หาซื้อไม่ได้ตามตลาดเท่านั้น แต่คือจิตสำนึก อุดมคติ พันธกิจ ที่อยู่ข้างในชีวิตทั้งชีวิตของผม ให้คุณค่าความหมายและบอกทิศทางแก่ชีวิตที่ดีบ้างชั่วบ้าง สำเร็จบ้างล้มเหลวบ้าง ชนะบ้างแพ้บ้างนี้ ประทานโทษที ชีวิตของคนธรรมดาที่ไม่กบฏ – ไม่มี –
พร้อมกับจดหมายฉบับนี้ ผมแนบ TRANSCRIPT ภาคสุดท้ายของผมมาด้วย ผมเรียนจบแล้ว ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จะดิ้นรนหาทางมาเรียนต่อ และพบคุณให้ได้ในเร็ววันที่สุด ให้สมกับที่คิดถึงและรอคอย
รักเสมอ.