อภิสิทธิ์เป็นลูกชายคนที่สองและเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวที่มีพี่น้องสี่คน ครอบครัวเรียกเขาว่า “น้อง” อภิสิทธิ์เกิดและเติบโตที่อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี เข้าเรียนต่อชั้นมัธยมปลายที่กรุงเทพและเข้าเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ขณะเสียชีวิต อภิสิทธิ์อายุ 21 ปี กำลังเรียนชั้นปีที่สาม จากเอกสารชันสูตรพลิกศพ เขาเสียชีวิตจาก “บาดแผลสะเก็ดระเบิดทำลายสมอง” นอกจากนี้ ยังมีบาดแผลฉีกขาดที่ขาทั้งทั้งสองข้าง
ผู้เล่า บังเอิญ ไทยนิยม แม่
ยายเกิดปี พ.ศ. 2475 ตอนที่อภิสิทธิ์เสีย ยายอายุ 43-44 ปี เราเรียกเขาว่าน้อง น้อง ใช้เป็นชื่อแทนเขา เพราะเวลาเขาพูดอะไรก็น้องอย่างนั้นน้องอย่างนี้ คนโตคือแดง แล้วก็มาอภิสิทธิ์ เขาก็เรียกชื่อตัวเองว่าน้อง เราก็เรียกเขาน้องมาเรื่อย น้องๆ ของเขาก็เรียกพี่น้องกัน เขาเรียนที่วัดใหญ่ ตอน ป.4 เขามาบอกว่า ครูเขาให้ไปสอบชิงทุน เราก็ว่า อย่างเจ้าน่ะจะไปสอบชิงทุน แม่ไม่ไปส่งหรอก ดูหนังสือก็ไม่เห็นดู เย็นๆ ก็วุ่นแต่เล่น จะไปชิงทุนอะไรกับเขา เขาไปบอกกับครู ครูตามมาที่บ้านเลย ครูเขาว่า ถ้าไม่ไปผมจะไปเอง เราก็เลยไปส่งเขาสอบชิงทุนการศึกษาของอำเภอ แล้วก็ไปสอบวิชาสุดท้าย ก็ว่าจะไม่อยู่แล้ว ก็ว่าจะไม่สอบแล้ว วิชาสุดท้ายมันสู้เขาไม่ได้แล้ว เด็กแหลมสิงห์เขาเก่งกว่า ปรากฏว่า วิชาสุดท้ายเขาบรรยายเสียเต็มหน้ากระดาษเลย แล้วก็ไอ้เด็กแหลมสิงห์ที่เก่งน่ะส่งกระดาษเปล่า ไม่ทำอะไรเลย เพื่อนที่ไปด้วยกันเขาว่า อย่าเพิ่งกลับ ไหนๆ มาแล้วก็อยู่ให้มันครบ ก็เลยเชื่อเขา ทีแรกจะกลับไง แกสู้เขาไม่ได้แน่ ปรากฏว่าชนะเขาหมดเลย ปลัดอำเภอโดดกอดเลยจ้ะ นิสัยเขาก็ไม่เกเรหรอก ไม่เที่ยว อภิสิทธิ์เขาก็อัธยาศัยดี ไม่เกเร
จำได้แต่ว่าเขาเรียนราม พอประมาณปีสามเขามาขอบวช นี่มันติดใจอยู่ตรงนี้ ไม่ลืม ไอ้เราก็เสียใจ ถ้าเราให้เขาบวชซะมันก็… เห็นมาหลายคนแล้ว คัดค้านเขาไอ้เรื่องบวชนี่ ลูกของอาที่บางกะจะก็คัดค้านเขาแล้วก็ไปขี่มอเตอร์ไซค์ชนกิ่งไม้ตาย ทำไมเขาขอบวช ก็ไม่รู้ซี ในใจเขาอยากจะบวช ยายบอกว่าให้เรียนรามปีสามให้จบก่อน เขาก็ว่า เอ้า ตามใจ แม่ไม่ให้บวชก็ ไม่รู้เขานึกยังไม่รู้เขา เขาอยากจะบวช ไอ้เราก็ว่าเห็นมันเรียนรามปีสาม ให้มันจบซะก่อน จะได้สบายใจ ถ้าเราให้เขาบวชซะก็ไม่รู้อีท่าไหน
ตอนที่เสีย พี่สาวเขาที่อยู่กรุงเทพน่ะ แดง พัชรา ที่ตายไปแล้วนี่เขาอยู่กรุงเทพ เขาโทรมาบอก เจ้าแดงเขาโทรศัพท์เข้าบ้าน พี่สาวเขาโทรมาว่า อภิสิทธิ์หายไป แล้วก็อยู่ในนั้น ในสนามหลวง แล้วก็ไม่กลับบ้าน พูดไปพูดมาเขาก็โทรมาอีกว่า เขาไปแล้ว แล้วก็ไปรับศพกัน แล้วก็แค่นั้นแหละ แล้วก็ไปรับกัน ไปรับศพกัน นอนอยู่เป็นแถวเลย ไปกันเอง ไปกับลูก เอ คุณพ่อไปเปล่าไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว เขาว่าถูกยิงมาจากกำแพง เพื่อนบอก เพื่อนเขาบอกว่าถูกยิงมาจากกำแพง เขาถูกที่ขา แล้วก็ถ้าโดนเส้นเลือดใหญ่นี่เลือดมันจะออกหมด ตัวเขานี่ ขาเขานี่ กางเกงมีแต่เปียกชุ่มเลือดเลย เลือดมันจะออกหมด เขาว่าไปถามหมอ หมอเขาก็บอกว่า โดนเส้นเลือดใหญ่เดี๋ยวเดียวก็ไป เขาว่า เขาบอกมันยิงมาจากกำแพง จะกลับก็กลับไม่ได้แล้วก็อยู่ในสนามหลวงมันออกไม่ได้ ตัวแกก็ไม่มีแผลอะไร มีที่ขา ถูกยิงที่ขาเท่านั้นเอง แต่ทีนี้มันออกจากที่นั่นไม่ได้ ไปโรงพยาบาลไม่ได้ เลือดหมดตัวเลย ก็ตกใจ มีลูกคนเดียว ลูกชายคนเดียว
รับศพมาบ้าน มาทำที่วัดโคกนี่ เราก็ทำกันเอง เพื่อนๆ ไม่มีใครมา ตอนนั้นมันยุ่ง มันอยู่ในนั้นน่ะ ตอนนั้นมันยังวุ่นกันอยู่ เราก็ทำกันเอง งานศพ ตาชิ้นแกกวาดขยะอยู่ถนนนี่ แล้วกินเหล้า แกก็พูดไปตามเรื่อง “มางานมันทำไม มันเป็นคอมมิวนิสต์” เขาว่า ส่วนตาย้าเป็นพี่น้องกัน ก็ว่า “อย่าไปเชื่อมัน อย่าไปฟังมันนะ เจ๊บังเอิญอย่าไปฟังมันนะ มึงกลับบ้านไปเลย เมาแล้วพูดไม่รู้เรื่อง” ก็ไม่กลัวว่าใครจะคิดว่าเป็นคอมมิวนิสต์ นึกว่าคนเมาพูดไปตามเรื่องของแก ชาวบ้านก็ไม่เห็นมีใครเขาว่าอะไร เขาก็มางานศพกันตามธรรมดา
ไม่ได้ไปแจ้งความ เราว่ามันไม่เกี่ยว เราไม่เกี่ยวกับการเมือง เขาชุมนุมกันก็ดันเข้าไป ก็ไปโดนลูกหลงเขา แค่นั้นแหละ เราไม่ได้ติดใจอะไร
ข้างบ้านนี่ ลูกเขากลับจากกรุงเทพ ได้ยินเสียงเขาเรียกว่า อภิสิทธิ์มา ไอ้น้องมาเว้ยๆ เปิดประตูออกไป อ้าว ไม่ใช่
ก็จำได้ที่เขาขอบวชแล้วเราคัดค้านใจเขา ก็เสียใจตัวเอง ถ้าเราให้เขาบวชซะเขาอาจจะอยู่ก็ได้ มันติดใจตรงนี้ แล้วก็ไม่ได้คิดอะไร ก็นึกอีกทีเขาก็ไปตามวาระของเขา ส่วนมากยายจะไปวัดแล้วก็ใส่บาตร ไหว้พระก็แผ่ส่วนกุศลให้เขาทุกวัน ไหว้พระเช้าเย็น สวดมนต์เช้าเย็น เขาไปตามวาระของเขา ก็หมดกังวลกันแค่นั้น
บุษบา ไทยนิยม น้องสาว
เป็นน้องสาวของพี่อภิสิทธิ์ ไทยนิยมค่ะ สนิทก็สนิท เพราะว่าเล็กๆ อยู่ด้วยกันสามคนพี่น้อง แล้วพี่สาวเขาไปอยู่กรุงเทพ แม่เขาไปค้าขายที่หนองบอน ตอนนั้นหนองบอนเขาทำพลอยกันใหม่ๆ พี่น้องก็จะดูแลคนในบ้าน ก็คืออยู่กันสามคน หุงข้าว ทำกับข้าว อะไรอย่างนี้ แล้วเขาก็สอนให้ทำงานบ้าน ส่วนใหญ่เขาก็สอนทุกเรื่อง เรื่องงานบ้านเรื่องอะไรเขาก็สอน หุงข้าว ทำกับข้าว เพราะช่วงนั้นก็อยู่กันเองเด็กๆ เสื้อผ้านักเรียนอะไรพวกนี้ พี่น้องจะเป็นคนปักให้ ปักชื่อ สอนปักผ้า เย็บผ้าอะไรแบบนี้ เขาปักเอง พี่น้องเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี ส่วนพี่เรียนที่โรงเรียนพลิ้ว ห่างกัน เขาอยู่มัธยมแล้วพี่ยังอยู่ประถมอยู่
พี่น้องไม่ค่อยแกล้งหรอกค่ะ ส่วนใหญ่ก็คุยสอนกันปกติ เรียบร้อย ไม่เที่ยว ไม่อะไร เขาก็ทำงานของเขา ปกติ จะไปไหนมาไหนก็ไม่นาน มีหนังมีอะไรเขาก็ไปดูหนัง กลางคืน แล้วเขาก็กลับ ไม่ได้เที่ยวอะไรมากมาย มีเพื่อนในตลาดแค่ไม่กี่คน ก็จะแบบในกลุ่มของเขา แล้วเขาก็กลับมา บางทีกลับมาเขาก็จะมาเล่าให้ฟังว่า เออนี่ เดินไปดูหนังกลางแปลง ตรงนั้นตรงนี้มา อะไรอย่างนี้ แล้วก็มาคุยสนุกสนาน ส่วนใหญ่ไปไหนมาเขาก็จะกลับมาเล่าให้ฟัง ว่าไปเที่ยว ไปดูหนัง ไปเจออะไร ยังไง ไปวิ่งหนีอะไรมา อะไรอย่างนี้
เขาไปอยู่กรุงเทพกับพี่สาว ไม่ได้อยู่ที่นี่ ยกเว้นว่าเขากลับมาเสาร์อาทิตย์ หรือว่าปิดเทอมอะไรอย่างนี้ เขาก็มาเล่าให้ฟังว่า ไปไหนไปทำอะไรมาบ้าง ก็จำได้แค่ว่า เออ บางทีเขามีการแสดง แสดงงิ้ว แสดงอะไร ก็ไปดู ก็ตลกดี เขาก็เล่าให้ฟังว่า เขาแสดงงิ้วล้อเลียน อะไรนี้ เราก็ไม่ได้อะไร เพราะพี่ก็ยังเล็กอยู่ การเมืองอะไรก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ช่วงนั้น พี่สาว พี่แดงเล่าให้ฟังว่า เขามีการชุมนุมกัน ยิงกัน อะไรอย่างนี้ ช่วงนั้นก็ไม่ค่อยรู้อะไร เหมือนเด็กมัธยม ไม่ค่อยสนใจการเมืองอยู่แล้ว
ตอนพี่น้องเสีย ตอนนั้นยังเรียนอยู่นะคะ ก็ได้แต่โทรมาถามว่า พี่น้องกลับมาบ้านหรือเปล่า ทางนี้ก็บอกว่าไม่ได้กลับ เราก็โทรติดต่อตลอด เขาบอกว่าพี่น้องยังไม่กลับบ้านเลย โทรไปโทรมาก็ประมาณสามวันนั่นแหละ ถึงได้รู้ว่าพี่น้องอยู่ที่โรงพยาบาล พี่สาว เขาไปดูศพเอง หรือไงนี่แหละ แล้วเขาบอกว่าเจอแล้ว พี่สาวเป็นคนพามาจากกรุงเทพเอง เพราะว่ามีพวกพี่เขย เขาอยู่กรุงเทพอยู่แล้ว พี่เขยกับพี่สาวรับมา
รู้ค่ะรู้ว่ามีการชุมนุม รู้เรื่องยิง เรื่องอะไรแบบนี้ แต่ว่าพี่น้องไม่กลับบ้าน สามวันก็รู้ข่าว คือพี่น้องไม่กลับบ้านสามวัน ถึงรู้ว่า…เสีย ตามหา ก็ตามหา ไม่รู้ว่าไปไหน เขาก็เช็คตามโรงพยาบาล ต่างจังหวัดบ้างอะไรบ้าง พวกญาติๆ ที่เขาอยู่กรุงเทพ เขาก็โทรถามกัน น่าจะเป็นพี่แดง พี่สาวค่ะ โทรมาถามว่า พี่น้องกลับมาหรือเปล่า ไปสอบแล้วยังไม่กลับเลย อะไรอย่างนี้ วันแรกก็รู้แล้วว่าพี่น้องไปไหนไม่รู้ ก็คอยจนสามวัน ถึงมีคนโทรมาบอกว่าเจอตัวแล้ว เดี๋ยวจะรับกลับบ้าน อะไรงี้
เพื่อนมาเล่าให้ฟังว่า พี่น้องไปสอบแล้วก็ไม่ได้สอบ วันสุดท้ายไม่ได้สอบ ก็จะกลับบ้าน กลุ่มเพื่อนเขาก็เล่าให้ฟังว่า จะเรียกพี่น้องให้กลับบ้านด้วยกัน เรียกไม่ทัน ทีนี้ว่าขึ้นรถไปเลย ก็มีอีกกลุ่มหนึ่งขึ้นรถไป เขาว่างี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าไปไหน รู้แต่ว่าขึ้นรถไป แล้ว ตอนที่พี่น้องเสียชีวิต พี่สาวเขาก็เล่าให้ฟังอีกแหละว่า เพื่อนบอกว่า พี่น้องโดนยิง พี่น้องยังบอกเลยว่า ดีนะที่เรียน รด. มา ก็ฉีกขากางเกงมามัด เหมือนจะไม่ให้เลือดไหล อะไรอย่างนี้ เขาก็ได้แต่เล่าแค่นี้แหละ
พอรู้ว่าพี่น้องเสีย ป๋าไม่พูดอะไรเลย น้ำตาไหลอย่างเดียว แล้วเขาก็นิ่ง เขาไม่พูด เขาก็ได้แต่ว่า เออ พี่น้องเสียแล้ว อะไรอย่างนี้ เขาก็เฉย เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แล้วก็ไม่ได้คุยกันเลยเรื่องว่าทำไมอะไร ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ไม่ได้คุยกันเลย เพราะพี่เด็กด้วยไง ไม่ได้คุยอะไรกันมาก ป๋าเขาเป็นคนเรียบๆ ไม่คุย ไม่อะไร เขาก็คงคาดหวัง เพราะว่าพี่น้องเรียนเก่ง แล้วก็ขยันเรียบร้อย เขาก็คงคาดหวังให้ทำงานดีๆ อะไรอย่างนี้
ส่วนใหญ่ก็คือสมัยก่อน แม่เขาจะค้าขาย คือหาเงินให้ลูกเรียนน่ะ เขาก็ทำมาหากินเหมือนเดิม ก็ได้แต่บ่นว่ามีคนพูดไม่ดี อะไรอย่างนี้ ก็บอกว่าช่างเขาเหอะ ใครเขาจะพูดว่ายังไง พี่น้องก็ไม่ได้เป็นแล้วกัน มีคนบางคนเขาก็เหมือนกับว่า เป็นนักศึกษา ไปชุมนุมไม่ดี เหมือนไปต่อต้าน เป็นคอมมิวนิสต์ เข้าป่า อะไรนี้ คือมันก็มีคนเข้าป่าบ้าง เขาบอกว่าพวกเข้าป่าเป็นพวกไม่ดี ก็เลยไม่ได้สนใจ แม่เขาก็ค้าขายปกติ แต่ส่วนใหญ่ก็คือจะพวก เหมือนกลุ่มในวงเหล้า ก็คุยกันในวงเหล้า ทำนองนี้ แต่คนในหมู่บ้านนี้เขาก็ไม่ว่ากัน
ได้แต่คุยว่า พี่น้องไม่น่าเสีย ไม่น่าไปอย่างนี้เลย อะไรอย่างนี้ แต่ว่าพี่น้องเขาก็ไม่เคยไปเดิน เป็นผู้นำอะไร เขาไม่เคยเป็นผู้นำ เขาได้แต่บอกว่าเขาไปนั่งดู นั่งดูการแสดงเฉยๆ ดูเขาเล่นงิ้ว
โกรธก็ไม่รู้จะทำยังไงได้ ก็ได้แต่ว่า ก็เงียบ ส่วนใหญ่ก็เงียบกัน ไม่รู้จะไปเรียกร้องอะไรจากใครด้วย เสียใจมาก มันเหมือนเรา…มีพี่ชายคนเดียวนะ ก็เสียใจ ช่วงนั้นก็เสียใจอยู่นานเหมือนกันนะ
จำความเรียบร้อย จำที่เขาสอนหุงข้าว ทำกับข้าว แล้วก็พี่น้องเขาก็เล่นดนตรีเหมือนกันนะ เล่นกีตาร์อะไรแบบนี้ พี่น้องหน้าตาดี เรียกว่าหล่อเลยแหละ ขาว หล่อ หน้าเหมือนเล็กคาราบาวมาก เพียงแต่ว่าไม่มีหนวดเท่านั้นเอง แม่เห็นเล็กคาราบาวในโทรทัศน์ แม่น้ำตาไหล นี่ยังอึ้งเลย บอกแม่ว่า เหมือนมากเลย คือเห็นทีไรก็นึกถึงเขา เห็นเล็กคาราบาวทีไรมันก็นึกถึงตลอด ตอนนี้ทำบุญหรือใส่บาตรอะไร ก็แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลให้เขาตลอด ไม่เคยลืม