Documentation of Oct 6

กมล สุสำเภา

สัมภาษณ์ คุณ กมล ลุสำเภา วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2543

คำถาม  :                      สถานภาพปัจจุบัน จัดเป็นพก 6 ตุลาคม 2519 ….. ( ไม่ชัด )

คุณกมล :                     สถานภาพปัจุบันทำงานรัฐวิสาหกิจ เป็นวิทยากรอบรม อยู่การไฟฟ้านครหลวงในตอน 6 ตุลาคม ก็เป็นพนักงานการประปรานครหลวง เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสหภาพการประปรานครหลวง เป็นสมาชิก เป็นผู้ประสานงาน … เป็นสมาชิกของศูนย์ประสานงานกรรมกร แนวร่วมวัฒนธรรมแห่งประเทศไทยด้วย แล้วก็เข้าร่วมในเหตุการณ์ 6 ตุลา แล้วก็เป็นผู้หนึ่งที่ถูกจับ แล้วก็หลังจากมีการประสานตัวออกมาก็ไปเดินทางเข้าป่า ไปอยู่ที่อีสานใต้ ในทำนองด้าน ศิลป ศิลปิน คณะศิลปินที่มั่นแดง ของภาคอีสานภาคใต้ พอเสร็จออกมาก็เข้าทำงานอยู่กับฝรั่งระยะหนึ่ง แล้วก็ช่วง ดร. อาทิตย์ อุไรรัตน์ เป็นผู้ว่าการประปาก็ได้ ชวนให้เข้าประปาอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้ไปอยู่อีกครั้งหนึ่ง ครับ

คำถาม :                       ขอบคุณมากครับผมอยากจะเริ่ม โดยตัวคำถาม คือเราจะพยายามจัดกรอบกำกับหน่อยในขั้นตอนนี้ ผมอยากถามว่า ในวันที่ 5-6 ตุลา คุณกมลอยู่ที่ใหนแล้วก็เป็นอะไรช่วยเล่าให้ฟังหน่อยครับ

คุณกมล :                   วันที่ 5 จริง ๆ แล้วผมก็เข้าร่วมกับเหตุการณ์ทางสังคมมาตั้งแต่ 14 ตุลา นะครับ หลาย ๆ ท่านมาร่วมก่อตั้งสหภาพแรงงานในต้นปี 18 แล้วก็รวบรวมกรรมกรผู้หญิง พวกโรงงาน ฮาร่า ลีน่า มาเป็นนาฏศิลป์กรรมกร ก็มีการแสดงมีอะไรกันตอนวันที่ 5 เราได้รับการติดต่อให้มาแสดงในตอนกลางคืน ในสนามฟุตบอลในการชุมนุมซึ่งการชุมนุมเราเริ่มตั้งแต่วันที่ 4 วันที่ 5 ก็มีคิวจะแสดงก็นัดพบกับพวกนาฏศิลป์กลุ่มกรรมกร ประมาณสัก 1 ทุ่ม ตอนเย็นวันที่ 5 ทางกลุ่มสหภาพแรงงานก็ได้มีการประชุมกันที่การประปรานครหลวงก็เกี่ยวกับ สถานการณ์ที่รัดงวดเข้ามาเรื่อย ๆ อย่างนี้ แต่ผมประชุมได้ไม่เสร็จประชุมได้หน่อยนึงก็ต้องรีบเดินทางไปเพราะมีนัดหมายกับพวกนาฏศิลป์ในกลุ่มกรรมกรเราเตรียมการแสดงอะไรกันต่าง ๆ ประมาณ 2 ทุ่ม แล้วก็ไปทานข้าว ตอนที่สถานการณ์ตึงเครียด การเข้าออกกธรรมศาสตร์ก็รู้จักว่าเราต้องมีการตรวจร่างกาย ตรวจอาวุธ กันอย่างเข้มงวด ในโปรแกรมการไปแสดงเราจะขึ้นประมาณเที่ยงคืน ปรากฏว่าตอนเที่ยงคืนตอนนั้นสัก 4-5 ทุ่ม เรารอกันหลังเวทีกัน  ก็มีผู้ประสานงานก็มาบอกว่า สถานการณ์ตึงเครียดมาก ก็ต้องเอาดนตรีกรรมาชนเล่นไปเรื่อย ๆ เพราะว่ากลัวขวัญจะเริ่มเสีย ก็เลยการแสดงต่าง ๆ ยกเลิกหมด เล่นดนตรีกรรมาชนโดยตลอด จนกระทั่งประมาณ  ตี 4-5  ประมาณนั้น ก็มีระเบิดเกิดขึ้นข้างสนาม

.ใจ                              ขอขัดจังหวะนิดนึงที่บอกว่าสถานการณ์ตึงเครียดเวลาออกจากธรรม ศาสตร์จะมีการตรวจร่างกาย ค้นอาวุธ อะไรทำนองนี้ ช่วยขยายความนิดนึงว่าใครเป็นคนตรวจ แล้วก็การเข้าออกจากธรรมศาสตร์นี้ยุ่งอย่างไร

คุณกมล :                     คือ พวกเราเข้าใจกันดีว่าสำหรับผู้ติดตามการเมืองในช่วงนั้น พวกชุมนุมบ่อย ๆนี้จะทราบว่า ทุกครั้งจะมีการก่อกวนนะครับ พอไปชุมนุมอะไรต่าง ๆ เราก็จะต้องมีการตรวจ โดยเจ้าหน้าที่จะเรียกเจ้าหน้าที่ก็ไม่ใช่นะครับ คือทางผู้ปฏิบัติงานของการชุมนุมนะครับก็จะมีการตรวจ เช็คว่า ใครมีอาวุธมาต่าง ๆ เราก็เข้าใจ แต่ว่าเพื่อความปลอดภัยของกลุ่ม ประชาชนทีมาชุมนุมด้วยอะไรอย่างนึ้ครับ ทุกคนก็จะเต็มใจให้ความร่วมมือ แพราะฉะนั้นการเช็คอะไรต่าง ๆ ก็จะปฏิบัติโดยผู้อื่น องค์นำที่จัดชุมนุมอย่างเช่นตอนนั้นก็คือศูนย์นิสิต นักศึกษา ซึ่งเราก็เข้าใจว่าเป็นผู้ดำเนินงานของศูนย์นิสิต ฯ แล้วก็จะเข้าออกเราก็ยอมให้ตรวจโดยดี

คำถาม :                       คุณกมลเข้าไปมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประมาณ?

( อ. ใจ )

คุณกมล :                     ประมาณทุ่มกว่า ๆ

คำถาม :                       แล้วตอนที่เดินเข้าไปเห็นอะไรบ้าง ข้างนอกและข้างในธรรมศาสตร์

( อ. ใจ )

คุณกมล :                     ตอนนั้นมีประชาชนเราไปชุมนุม แต่การที่จะมีคนมาลอ้มธรรมศษสตร์อะไรต่าง ๆ เราคงไม่ได้เห็นชัดเจน ว่ามีฝูงชนอะไรที่มาล้อม แต่ว่าสถานการณ์มันตึงเครียดมากเพราะว่า “ตอนนั้นก็มีว่าเราดูถูกพระราชวงค์ ใช่มั้ยครับ เบื้องสูงอะไรอย่างี้” ก็มี สถานการณ์ตึงเครียดแล้วก็พอดีผมไม่ได้เข้าทางด้านหน้ามหาวิทยาลัย ผมเข้าทางประตูด้านลานโพธิ์ เลยทางด้านหน้าก็ไม่ทราบสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร แต่ว่าก็ตู้ ๆ ว่า แถบ ทางบริเวณสนามหลวงอะไรต่าง ๆ มีกลุ่มที่คัดค้านมีการรวมตัวกัน

คำถาม :                       รู้ได้อย่างไรครับ

( อ. ใจ )

คุณกมล :                   ดูจากคำบอกเล่า จากพอดีคนเขาบอกโดยเพื่อนที่ไปชุมนุมกัน เรามีเพื่อนที่นัดกันไปด้วย ไปชุมนุมกัน เขาบอกว่าแถวโรงละคร แถวพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ จะมีกลุ่มพวกคนที่ คอยมาขัดขวางเรา

คำถาม :                       แล้วระหว่างเวลา 1 ทุ่มที่เข้าไปมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จนถึงตีสี่ ได้ออกไปดูสถาการณ์รอบนอกของธรรมศาสตร์บ้างมั้ยครับ หรืออยู่ข้างใน

คุณกมล :                     ผมตอนที่ได้รับการประกันตัวออกมาแล้วพี่ชายผมคนหนึ่งเป็นรับเหมา

และค้าขายอยู่กับพวกทหาร ในค่ายของทหารแกก็ไม่ค่อยมีความคิดอะไรทางการเมืองแกร้องให้เสียใจแกบอกว่าแกเป็นคนขับรถของแกนะ ลำเลียงคนจาก สถานีวิทยุยานเกราะ เข้ามาปิดล้อมมหาวิทยาลัยธรรมศษสตร์ตอนประมาณ 5 ทุ่ม 6 ทุ่ม แกเสียใจแกบอกว่า  แกเกือบจะเป็นคนที่ ฆ่าน้องเสียแล้ว

คำถาม :                       พี่ชายคนไหน ?

คุณกมล :                     พี่ชายคนโต เป็นลูกเสือชาวบ้าน

คำถาม :                       เป็นลูกเสือชาวบ้านแล้วก็ได้ขับรถพาคนจากสถานีวิทยุยานเกราะมาที่

หน้าธรรมศาสตร์ ?

คุณกมล :                     มาปิดล้อมธรรมศาสตร์

คำถาม :                       จำชื่อได้มั้ยคะ

( อ. ชลธิรา )

คุณกมล :                     จำได้ครับ พี่ชายคนนี่ตอนนี้สียชีวิตไปแล้ว ชื่อ “สมศักดิ์  สุสำเภา” พอได้รับ ประกันตัวออกมาแกก็ร้องให้แกบอกว่าแกเกือบเป็นคนที่ฆ่าน้อง เราอยู่กันคนละที่ แล้วแกก็ไม่เข้าใจความคิดทางการเมืองของผมมากนัก

คำถาม :                    หลังจากเหตุการณ์นั้น ไม่ทราบว่าพี่ชายคนนี้ได้เล่าให้ฟังบ้างมั้ยคะว่าความเป็นมาของการที่ไปลำเลียงคนที่สถานีวิทยุยานเกราะเป็นอย่างไรคือรับคำสั่งโดยไม่รู้เรื่องหรือว่าอย่างไร

คุณกมล :                   คือแกไม่รู้เรื่องหรอกเพราะว่าเป็นพ่อค้าที่ทำงานหากินกับทหารในการส่งของประกวดราคา รับงานต่าง ๆ ของทหาร เพราะฉะนั้นเวลาเค้าอย่างเค้าไปตีกอล์ฟกัน แกตีกอล์ฟไม่เป็นแกก็ต้องไปกับเค้าเพื่อจะไปคอยเปย์ (pay) อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ครับ มันเป็นเรื่องปกติครับเพราะฉะนั้นอย่างเค้าชวนไปไหน อย่างชวนไปอบรมลูกเสือชาวบ้านแกจะไปโดยไม่มีความคิดทางการเมือง แกคิดแต่ว่าอาชีพของแก งานของแก แต่พอเสร็จจากเหตุการณ์แกก็เลิกหากินแบบนี้เลยพอหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา แกก็เลิกหากิน

คำถาม :                       พี่ชายเคยเล่าให้ฟังมั้ยว่า จุดมุ่งหมายของลูกเสือชาวบ้านที่ไปหน้าธรรมศาสตร์นี่เพื่ออะไร

( อ. ใจ )

คุณกมล :                   คือความคิดของพี่ชายผมตอนนั้น  ก็เพื่อ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์นะครับ แล้วแกก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าน้องชาย คือ ผมนี้เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมเคลื่อนไหวอยู่กับทางด้านกลุ่มประชาชน แกไม่ทราบเพราะพักกันคนละบ้าน พักคนละที่ เวลาเจอกันเราก็ไม่เคยแลกเปลี่ยนทัศนะ แก อาจเข้าใจว่าผมมีความคิดอย่างนี้ อยู่บ้าง แต่ไม่เข้าใจถึงขั้นว่า เราเข้าไปร่วมในกิจกรรมทางการเมืองด้วย สำหรับตัวแกเอง ผมมองดูแล้วแกไม่มีความคิดทางการเมือง เพียงแต่ว่าลักษณะผลประโยชน์ที่แกมีในอาชีพของแกถูกชักจูงบไป

คำถาม :                             แล้วหลังจากพี่ชายลำเลียงคนไปที่หน้าธรรมศาสตร์ แกอยู่ที่หน้าธรรมศาสตร์ต่อไปหรือเปล่า

คุณกมล :                     ไม่ครับ แกก็กลับมาพักผ่อนที่บ้าน

คำถาม :           แล้วคุณกมล ตอนที่อยู่ธรรมศาสตร์จะถึงตีสี่ ตีห้า ได้เห็นอะไรด้วยตาตนเองบ้างมั้ยครับ

คุณกมล :                     ก็เห็น ตอนที่ระเบิดเข้ามาก็มีคนบาดจ็บและล้มตายด้วยหรือเปล่าไม่ทราบ พวกเรามันเป็นวัฒนธรรมของการชุมนุมว่าถ้ามีเรื่องร้าย ๆ อย่างมีเกิดขึ้น เราก็ไม่ตกใจกันแล้ว เราก็หมอบกันให้เจ้าหน้าที่ที่ดูรักษาความปลอดภัยของการชุมนุมมาเคลียก็เคลียคนเจ็บออกไป

คำถาม :                    ตอนนั้นกี่โมงครับ

( อ. ใจ )                       ก็ตอนตีสี่ ตีห้า ไม่ทราบเวลาแน่ชัด พอไม่ห่างจากนั้นเท่าไหร่ก็มีบึ้มลูกที่สอง ลูกที่สองผมเห็นไฟมันวิ่งข้าม เป็นลูกไฟวิ่งข้ามหลังคาหอใหญ่ แล้วบึ้มมาคราวนี้พอมีเหตุการณ์บึ้มมาผูประกาศบนเวทีก็จะบอกพวกเราเงียบ เพราะจะไม่ให้คนข้างนอกรู้ว่าเรามีอะไรกันบ้าง เราทำอะไรกันบ้างอย่างนี้ พอบึ้มที่สองเขาก็จะประกาศจะให้คนเข้ามาเคลียร์ โดยมาพูดสื่อว่าเราเคลียร์ เราจะหลบออกกลางสนาม ตอนนั้นผมว่าตีห้ากว่าแล้วละ

คำถาม :                       ที่บอกว่าเห็นลูกระเบิดวิ่งมา

( อ. ใจ )

คุณกมล :                   ครับ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าเป็นการยิงมาจากข้างนอก พอมีเจ้าหน้าที่ของการชุมนุมวิ่งมาบอกที่หน่วยงาน เราจะเคลียร์หลบออกไปจากกลางสนาม ก็เข้าใจทันทีว่าถูกยิงจากข้างนอกเข้าใจ ทีแรกก็เข้าใจว่าถูกลอบเข้ามาก่อกวน

คำถาม :                       นับตั้งแต่ได้ยินเสียงระเบิด ได้ยินเสียงปืนเสียงอะไรโต้ตอบจากภายในมั้ยคะ

คุณกมล :                   ความจริงนะฮะผมเห็นแสงสว่างจากทางด้านหน้าหอใหญ่เห็นแบบมีการเผาอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ตีหนึ่ง ตีสอง ประมาณนั้น ตอนที่คิวผมจะขึ้นแสดงกล้วถูกยิงเลิกไปแล้วก็สักพักใหญ่ ๆ เรานั่งชุมนุมอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ เราก็มองเห็นเราก็รู้สึกว่าไม่คิดว่าจะมีนาน ๆ จะได้ยินเสียงปืนปั้ง และก็มีการวิ่งของพวกหน่วยรักษาความปลอดภัย ของการชุมนุม พวกนักศึกษาที่หน่วยรักษาควมปลอดภัย คิดว่าคงจะไล่จับคนอะไรต่าง ๆ ยิ่งเรารู้ว่าเป็นธรรมดาของการชุมนุมบรรยากาศเป็นอย่างนั้น แต่ตอนหลังมารู้ว่า แสงไฟที่เราเห็นเป็นการเผาบอร์ดอยู่หน้าหอใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อ่านจากหนังสือพิมพ์ทีหลังมาลำดับเหตุการณ์ทีหลัง

คำถาม :                    ลูกระเบิดทีเห็นมาถึงแสงไฟที่บอกว่าเห็นปะมาณ ตี 5 มาจากทิศทางไหน

( อ. ใจ )

คุณกมล :                     จากสนามหลวงเข้าใจว่าเป็นอย่างนี้นะเพราะบรรยากาศตอนนั้นเราก็ไม่

ได้คิดอะไรเข้าใจว่าเป็นการยิงมาจากข้างนอก คิดอย่างเดียวว่าเป็นข้างใน ที่ผมมาลำดับว่าที่เราเห้นแว๊บเข้ามานั้น คือ ยิงเข้ามา เป็นการที่เรามาลำดับทีหลัง ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าต้นกำเนิดมาจากไหน

ที่นี่ถูกสังเกตุการณ์ในวันที่ 6 ต่อนะครับ พอหลังจากที่บอกเราเคลียร์พื้นที่หมายถึงว่าหลบจากกลางสนามเข้ามา ไปตามตึกต่าง ๆ ผมก็เข้าไปอยู่ใต้ตึกบัญชี ใต้ตึกบัญชีตอนนั้นมันจะเป็นประตูเหล็กม้วนกั้นบันไดที่ขึ้นตึกต่าง ๆ เสียงปืนเสียงการต่อสู้นั้นจะดัง ตอนนี้ดังเหมือนหนังสงครามแล้ววับแว๊บ ๆ ตลอดเวลา เราก็พยายามคล้าย ๆกับว่าข้างล่างมันก็อัดแจ แบบว่าแยะมาก หน่วยพยาบาลก็อยู่ใต้ตึกบัญชี พยาบาลสำหรับรักษาคนเป็นลมคนบาดเจ็บอะไรต่าง ๆ ตอนนั้นเลยมีพวกเราส่วนหนึ่งพยายามที่จะงัดประตูเหล็กม้วนที่ใต้ตึกบัญชี ก็งัดไม่ได้ เราใช้กระทุ้งจนมือทุบมีเลือดออกที่มือ พอเราลอบขึ้นไปได้ ผมเป็นส่วนแรก ๆ ที่มีโอกาศขึ้นไปก่อนช่วกแรก ๆ จากใต้ตึกชั้น 2 ชั้น 3 ผมก็วิ่งขึ้นไปชั้นบนสุดพอขึ้นไปชั้น 4 ชั้นบนสุด เราก็ไปหทอบตรงระเบียงตอนนี้สว่างแล้ว ที่ระเบียงนะเราเห็น ตอนนั้นใช้รถสีเขียว เหลือง พวกรถสาย 6 สาย 86 ที่วิ่งไปบุคคโล ประมาณนั้น รถแบบนั้นใช้รถเมล์พังประตู คงจะใช้ขับชน หรือ ขับพังเข้ามาเพราะว่าถ้ามองจากตึกบัญชีไปเราจะไม่เห็นตรงประตูใหญ่แต่เราเห็นเขาข้ามมาหน้าหอใหญ่เข้ามาแล้วมาจอดอยู่ตรงที่ทุกวันนี้เป็นพระพุทธรูปบริเวณนั้นนะ พอเขาลงมาเขาขว้างระเบิดควัน เห็นเป็นควัน แล้วก็หน่วยที่นั่งรถเมล์มาก็จะหมอบลง ค่อย ๆ หมอบ ตอนนั้นผมยังคิดว่าถ้าเรามีปืนเราเลือกยิงได้สบายเลย เพราะอยู่บนตึก และตอนนั้นเราก็เห็นหน่วยรักษาความปลอดภัยวิ่งหลบ วิ่งสู้ ถูกยิงล้ม

คำถาม :                    หน่วยรักษาความปลอดภัยของฝ่ายไหน

( อ. ใจ )

คุณกมล :                     ของผู้ชุมนุมเราเห็นบางคนก็ล้ม เราพยายามใช้โต๊ะ ใช้เก้าอี้ เท่าที่มีมาตั้งเป็นสนามบังเกอร์ ที่นี่ระหว่างที่เขาเข้ามาแล้ว ตอนนั้นทางหน่วยรักษาความปลอดภัย ที่อยู่บนตึกที่เราเห้นก็ คือ มีอาวุธปืนสั้นก็วิ่งเข้ามาแล้วประตูเป็นบานเกร็ดเขาก็จะชก ทุบประตูบานเกร็ดแล้วก็เอื้อมมือมาเปิดแล้วบอกให้เราหลบไปข้างนอก พอพวกเขาเข้ามาแล้วเราหมอบอยู่เขายิงเข้ามาในตึก มันกระทบกระจกที่แตกมันดังวิ๊ว ๆ แล้วหน่วยรักษาความปลอดภัยก็บอกให้หลบออกไปข้างนอก

คำถาม :                    ย้อนกลับไปนิดนึงนะว่าตรงนี้ค่อนข้างจะมีข้อมูลที่ละเอียด ย้อนไปสู่เรื่องของรถเมล์ที่ขับเข้ามาว่า คน บนรถเมล์คือใคร แล้วใครเป็นคนขับ

คุณกมล :         เราก็ไม่ทราบ เพราะเรามองไกล ๆ แต่เท่าที่เราคิดก็คิดว่าคงจะเป็นกระทิงแดงเพราะตอนนั้นก็มีฝ่ายที่ต่อต้านเรา เราก็โยนไปกระทิงแดงหมด ตอนนั้นเราก้คิดว่าเป็นกระทิงแดงแต่จริง ๆ แล้วเป็นใครเราก็ไม่ทราบ แต่เป็นพวกที่ต้องการจะมาปราบปรามพวกเรา

คำถาม :                       ตอนที่เค้าลงมาจากรถเมล์ เขาผูกผ้า ?

คุณกมล :                     คือ เขาหมอบนะเหมือนจะออกรบเลยละ

คำถาม :                       เค้าแต่งเครื่องแบบ ?

( อ. ใจ )

คุณกมล :                   แต่งธรรมดา เสื้อยืดกางเกงยืนส์

คำถาม :                       แล้วมีอาวุธหรือเปล่า

( อ. ใจ )

คุณกมล :                     อ๋อ มีครับ

คำถาม :                       อาวุธอะไรครับ

( อ. ใจ )

คุณกมล :                     มองไกล ๆ ไม่เห็นแต่ก็มีการยิงกันหน่วยรักษาความปลอดภัยของเราพวกก็วิ่ง ก็ล้ม

คำถาม :                       แล้วฝ่ายนักศึกษามีปืน ?

( อ. ใจ )

คุณกมล :                     จะมีปืนหรือไม่มีเรามองไกล ๆ ไม่ทราบ เค้าก็หลบอยู่ที่บังเกอร์พอพวกนี้มาเค้าก็วิ่งเข้าขอบ ๆ สนามฟุตบอล แล้วก็พยายามมากันพื้นที่ตรงนั้น ฝ่ายนี้ก็ยิงตรงโน้น ยิงตรงนี้ หน่วยรักษาความปลอดภัยของนักศึกษาก็พยายามวิ่งหลบแล้วก็ถูกยิงเข้าข้างหลังแล้วล้ม

คำถาม :                       ที่เห็นฝ่ายที่อยู่บนรถเมล์ แล้วลงมาแล้วก็ยิงฝ่ายนักศึกษาพอจะดูออกไหมครับว่าใช้อาวุธชนิดไหน เป็นปืนสั้นหรือปืนยาว

คุณกมล :                     ตอนนั้นที่คาดการณ์ที่มองว่าคาดว่าเป็นปืนสั้นแต่ตอนนั้นเสียงปืนต่าง ๆ มันรัวไปหมดแล้วไม่รู้ว่า ตรงไหนบ้างแล้วก็ภาพที่เราเห็นอีกมุมหนึ่งก็คือบนเวทีตึก อมธ . ตึกกิจกรรมของนักศึกษาธรรมศาสตร์แล้วก็ที่อยู่ในตึกนิติศาสตร์ พวกนักศึกษา พยายามจะเริ่มคลาน เริ่มกลิ้ง เหมือนกับถอย พอรถเข้ามาเราอยู่บนตึกบัญชีจะมองเห็นภาพทางนักศึกษาพยายามที่จะร่นไปทางตึกโดมพวกเครื่องดนตรีก็ยังตั้งอยู่ เราก็นึกเสียดายว่าเครื่องดนตรีกรรมาชนเคยเล่นถูกยังพังแล้วก็นึกเสียดายบรรยากาศ

คำถาม :                 ก่อนที่รถเมล์จะบุกเข้ามามีคนอื่น ๆ บุกเข้ามามั้ยฮะ

( อ. ใจ )

คุณกมล :                   คือช่วงนั้นนี่บรรยากาศหลังจากที่เราเข้าไปใต้ตึกบัญชีแล้วสภาพข้างนอกเราไม่รู้เรื่องเลย ความมุ่งหวังของพวกผมคือทำอย่างไรจะพังประตูเหล็กให้ได้ เพื่อที่จะให้คนหลบขึ้นไปข้างบน เพื่อควาปลอดภัยจากกระสุนที่ยิงมาจากข้างนอก เราไม่ได้คิดว่าจะมีการบุกเข้ามาแล้วก็ปราบปรามเราขนาดนั้นตอนนั้นเราคิดว่าเป้นการก่อกวนแล้วก็พวกหน่วยรักษาความปลอดภัยสามารถต้านยันไว้ได้เพียงแต่กระสุนที่มันเข้ามาเปี้ยงปัง ๆ เสียงมันดังตลอดเวลาเราก็คิดว่าถ้าเรามีที่เป็นกำลังที่มิดชิดต่าง ๆ ผู้ชุมนุมอยู่ก็จะปลอดภัยก็พยายามช่วยกันทุบ ช่วยกันพังประตูเหล็ก

คำถาม :                       เพราะฉะนั้นกลุ่มแรกที่คุณกมลเห็นกับตาว่าบุกเข้ามา ?

( อ. ใจ )

คุณกมล :                     ก็คือรถเมล์มีเขียวเหลือง คันเดียว

คำถาม :                       แล้วหลังจากกลุ่มที่บุกเข้ามามีกลุ่มอื่น ๆ ตามมามั้ยครับ

( อ. ใจ )

คุณกมล :                     ผมไม่ทราบเพราะว่าตอนนั้นหลังจากหน่วยรักษาความปลอดภัยล้มตาย เห็นนักศึกษาพยายามกลิ้งหลบไปทางตึกโดมแล้วหน่วยรักษาความปลอดภัยของนักศึกษาที่บอกว่ามีอาวุธปืนสั้น แล้วก็วิ่งมาเคาะ มาทุบกระจกแล้วก็เปิดกระจกให้ประชาชนที่ชุมนุมหลบหลบเข้าไปข้างในห้องพักแล้ว เราก็ไม่ได้ยินอะไรเลยเราก็นอนหมอบอยู่พื้นแล้วก็ได้ยินเสียงระเบิด แล้วก็ใช้วางระเบิดที่โรงเรียนช่างกลพระราม 6 เราก็คิดว่าเค้ามาวางตึก ตึก อาจพัง ในใจก็ตอนอยู่ก็บอกกับเตี่ยกับแม่ว่า “ถ้าลูกเป็นอะไรไปมันเป็นเพราะลูก” คล้ายบอกขอโทษเค้านะ ที่ผมหลบเข้าไปจะมีผู้ชายอยู่ 3 คน พอเราหลบเข้าไปสักพักก็นั่งคุย ตอนนั้นกระสุนก็เข้ามาบ้าง ก็หมอบแล้วก็คุยกันว่าถ้าเกิดว่ามีการหลบออกไปได้ให้หาทางเข้าป่ากันไปเลยแล้วก็ตอนนั้นผมเป็นคนถือเงินของสหภาพการประปานครหลวง ที่เอกชัย  เอกกมง ก่อนจะมีการประชุม สหภาพตอนเย็น บ่าย ๆ ก็บอกว่ากมลไปเบิกเงินมาไว้ก่อนส่วนหนึ่ง ว่ามีการชุมนุมเราอาจต้องไปช่วยเหลือเขาบ้าง ผมก็ไปเบิกเงินมา 3-4 พันบาท สมัยก่อนมันก็เยอะผมก็เอาเงินแจกพวกนั้นบอกว่าใครมีโอกาสหาทางเข้าป่าก็เข้าไปเลยแล้วก็เฉลี่ยกันไปโดยที่ไม่รู้จักกัน ตอนนั้นความรู้สึกมันชาหมด ความตายเกิดขึ้นเราก็ไม่กลัวแล้ว จนเราได้ยินเสียงเคลียร์จากข้างล่างว่า “ออกมา” จนกระทั่งมาเคาะห้องเราเราก็ให้ผู้หญิงตะโกนออกไปว่าที่นี่ไม่มีอาวุธ ๆ ที่ห้องที่เราเข้าไปหลบเป็นห้องอาจารย์มีปฏิทินรูปหนึ่งอยู่ด้วย แล้วมีไม้กวาดอยู่ไกล้ ๆ เราก็กะว่าเค้าบอกให้เราออกเราจะกระตุกปฏทินลงมาแล้วเอาไม้กวาดเสียบกะจะชูรูปนายหลวงไปก่อน ที่นี่คนหนึ่งบอกว่า เดี๋ยวมันว่าเราดูถูกก็เลยถอดเสื้อ เสื้อผมเป็นเสื้อชมพูออกขาวหน่อย ๆ แล้วทำเป็นธงขาว ตะครุบไม้กวาดแล้วยื่นออกไปก่อน พอเราเปิดประตูออกมาผมเป็นคนถือไม้กวาด พอเปิดออกมาก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งอยู่ใกล้ผมก็เลย คลานออกมาก่อนเป็นคนแรกเค้าบอกให้เราถอดเสื้ออกมาด้วย เสียงที่ดังเข้าไปบอกว่า “ให้ถอดเสื้อออกมา” แล้ว ผู้หญิงที่อยู่ในห้องตะโกน คือเราให้ผู้หญิงที่อยู่ในห้องเป็นฝ่ายตะโกนออกมาเพื่อให้รู้ว่าไม่มีผู้ชายเค้าจะได้ไม่ยิงกราดเข้ามา แต่ตอนนั้นกระจกอะไรต่าง ๆ ก็กระสุนอะไรก็เข้ามาเต็มห้องไปหมดก็ให้ผู้หญิงตะโกนถามว่า “ผู้หญิงต้องถอดมั้ย” เค้าบอกว่าผู้หญิงแหละตัวดี ผู้หญิงก็ต้องถอดเสื้อพอเราคลานออกมาคนที่เป็นคนเปิดประตูห้อง เราคลานออกมา พอเปิดมาคนแรกก็เลยคลานออกยื่นเสื้อที่เป็นธงขาว ออกไปก่อน พอเค้าไปก็ถูกเตะท้องหงายขึ้นมา ผมคนที่สอง พอผ่านผมไปเขาก็เตะผม ตอนนั้นที่เรา คนทำก็ คือ  ตชด . และผมดูป้ายข้างหน้าบอกว่ามาจากที่ “ปราณบุรี” ตอนนั้นในใจก็คิดว่า คือไม่ให้เรามองหน้าเค้านะผมก็คิดว่าหน้ามันเป็นหมา  หน้ามันเป็นหมา ใจก็คิดอย่างนั้น

คำถาม :                    ฉะนั้นกลุ่มที่ข้างนอกทีแรกที่บอกว่าต้องถอดเสื้อต้องออกมาแล้วก็หลังจากนั้น ก็เตะคุณ ก็คือ ตชด.

คุณกมล :                   ตชด. จากค่ายปราณบุรีที่ 21 คือ ตอนนั้นเราออกมา เราคลานเราต้องก้มตลอดเวลา ก็วิ่งลงมาจากบันไดเราก็เห็นศพ เห็นคนเจ็บอะไรต่าง ๆ เกลื่อนพื้นบันไดที่เราวิ่งจากชั้น 4 ลงมา ตามบันไดมีคนตายตลอดทาง

คำถาม :                       ในหมู่ ตชด. ที่อยู่นอกห้องมีพลเรือนปนอยู่ด้วยหรือเปล่า

คุณกมล :                     ตอนนั้นเค้าไม่ให้เรามองแต่ว่าที่ผมเห็น คือคนที่เตะเราเค้าก็ไม่ให้เรามอง ให้เราวิ่งลงมาแล้วก้มตลอดเวลา เวลาใครมองก็ถามอะไรต่าง ๆ นานา อย่างนี้ จนเราหมอบที่นั่น ผมวิ่งลงมาแล้วเห็นหมอบที่พื้นเต็มไปหมดทั้งผู้หญิง ผู้ชายในความรู้สึกเราคือคนที่หมอบคือคนที่ตายแล้ว ตอนนั้นกระสุนต่าง ๆ ก็ยิงผ่านหัวเราอยู่ ดินปืนที่คลุ้งทั้งสนาม กระสุนยังยิงข้ามหัวเราไป เราพยายามวิ่งให้ชิดที่สุด เวลาทหารตำรวจเค้าเดิน ที่เราเห็นคือ เราเข้าใจว่าเป็นตำรวจ ตชด. เวลาเขาเดินไปมาเขาก็เดินข้ามอยู่บนตัวเรา สำหรับผมก่อนจะออกจากห้อง นาฬิกาผมที่ใส่อยู่ ผมก็เอามาใส่ในกางเกงยีนส์ เอามาใส่ในกระเป๋าหน้าเวลาผมนอนก้ม ผมก็ยังได้นาฬิกาผมไว้ แต่กระเป๋าสตางค์เค้ามาหยิบเอาไปพอหยิบเอาไปสักเดี๋ยวเขาก็เอากระเป๋าตังค์มาโยนไว้บนหลังผม แล้วบอกว่า “ไอ้สัตว์กระเป๋าเก่าฉิบหาย” แต่ว่าผมก็เอื้อมมือไปหยิบแล้วใส่ไว้อย่างเก่า แต่ผมพอไปเข้าในคุกแล้ว สตังค์ไม่เหลือสักบาทเลย

คำถาม :                    ตอนนั้นนอนคว่ำอยู่

( อ. ใจ )

คุณกมล :                   นอนคว่ำอยู่

คำถาม :                     ทราบมั้ยว่าใครเป็นคนหยิบกระเป๋าตังค์ไป

( อ. ใจ )

คุณกมล :                     ผมไม่ทราบนะครับ คงไม่มีใครเข้าไปนอกจากคนที่ถือปืนคุมเราอยู่ตรงนั้น

คำถาม :                       ตอนที่บอกว่าพวกตำรวจ ทหาร เดินตามไป

( อ. ใจ )

คุณกมล :                     ครับเวลาเค้าไปไหนก็จะเดินดูเรา แล้วเค้าใช้เหยียบศรีษะ ผมไปกับพื้นทั้งที่เค้าผิดนะ เค้าบอกว่า “ ไอ้สัตว์ ไอ้เวียดนามมึงรู้มั้ยว่าแผ่นดินนี้แผ่นดินแม่มึง มึงรักไว้นะ มึงจูบไว้นะ”  แล้วก็เหยียบบนหัวเรากด ๆ ลงไป

คำถาม :                       เป็นทหารด้วยใช่มั้ย

( อ. ใจ )

คุณกมล :                     ก็คงเป็นทหาร ดูจากรองเท้าบูท

คำถาม :                       เป็นทหารด้วยไม่ใช่ตำรวจอย่างเดียว

( อ. ใจ )

คุณกมล :                     คือเป็นทหาร หรือตำรวจก็ไม่ทราบ คือตอนนั้นเค้าไม่ ให้เรามองอะไรทั้งสิ้น ถ้าเกิดเราเงยก็คงต่อสู้กันดุเดือด ก็ต้องก้มอยู่กับดินตลอดเวลา แต่เรารู้ว่าเท่าที่เหยียบเราเป็นรองเท้าบู๊ต

คำถาม :                       แล้วที่เค้าด่าว่าเป็น “ไอ้เวียดนาม แผ่นดินนี้แผ่นดินแม่มึงนะ” เค้ารู้ว่าเป็นคนไทย ?

คุณกมล :                     เค้ารู้ว่าเป็นคนไทย เราหมอบอยู่อย่างนั้นจนแดดร้อน ผมก็รู้ว่าแสงแดดมันเผาข้างหลังเรา ร้อนแล้ว เพราะเราถอดเสื้อแล้วก็หมอบอยู่กันที่หญ้า จนกระทั่งผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบ เค้าก็บอกให้เราเงยขึ้นก็ปรากฏว่ารถเมล์มาจอดอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต่อกันหลายคัน  เงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นประชาชนยืนล้อมกันมาก ตอนนั้นเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว เสียงปืนก็จะดังแค่ประปราย เสียงเหมือนกับประทัด มันเป็นช่วงเช้าก่อนที่เราจะมากวาดเรา นาน ๆ เสียงปืนมันดังเป็นชุด ๆ และเสียงมันก็จางลงแยะแล้วตอนที่เขาบอกให้เราขึ้นมาแล้วไปขึ้นรถเมล์นี่มันหลายชั่วโมงแล้วเงยหน้ามามีประชาชน ยืนดู

คุณกมล :                   บนเบาะรถเมล์เขาก็ให้เราเอาศรีษะไปติดกับเบาะข้างหน้าเลย สำหรับนั่งบนคานเลย สำหรับคนที่ให้เรานั่งให้เราเอาศรีษะไว้บนคาน เค้าเอาปืน M16 ตอนนี้ เป็นปืน M16 แล้ว เอาไว้บนศรีษะบนคอ เพราะฉะนั้นเราต้องหมอบให้ถึงมี่สุดตอนที่เรานั่งอยู่บนรถเมล์เราพลิกไปเราก็พอดูอะไรได้บ้างที่ผมของคนที่อยู่หน้าเรานะฮะ มันมีพวกเสมหะพวกน้ำลายเต็มไปหมด ตอนนั้นเราขึ้นไปอยู่บนรถแล้วช่วงก่อนที่เราวิ่งขึ้นไปนั่ง เรายังไม่ได้ก้มลงเองจะแนบพื้น เราจะเห็นคนข้างหน้าศรีษะเต็มไปด้วยเสมหะด้วยน้ำลาย เราก็คงคิดว่าตัวเราก็คงจะเหมือนกัน พอเราขึ้นไปที่รถตั้งนาน กว่ารถจะออก ฝนมันตกใหญ่ ฝนตกจนกระทั่งฝนหยุดตก เสียงคนเข้ามาทุบรถ เรานั่งอยู่ในรถก็เงยหน้าไม่ได้ พอรถวิ่งไปก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน ในใจก็คิดว่าตามคำเล่าลือ ตอนที่ 14 ตุลา เอาไปถมทะเล เอาไปอะไรต่าง ๆ ในใจก็นึกบอกเตี่ยกับแม่ว่าลูกเดินทางทางเลือกของลูกเองนะจนกระทั่งได้ยินเสียงรถจอด ก็ได้ยินเสียงปืนได้ยิน เสียงว่า  “โยนขึ้นมา”  แต่เราก็ไม่รู้ว่าอะไร แต่ว่าเขามาเล่าให้ฟังอีกทีหนึ่งหลังจากที่ผมออกจากคุกมาแล้ว ว่ามีคนกระโดดรถแล้วก็โยนร่างคนตาย แล้ว เห็นว่าบริเวณที่กระโดดแถวหนองแขมอันนี้ผมไม่รู้เพราะเงยหน้าไม่ได้เลย เพียงแต่ได้ยินเสียงปืน เสียงรถจอดก่อนได้ยินเสียง “โยนขึ้นมา ๆ” เพื่อนที่มารับผมนะที่ไม่ได้ถูกจับมารับกลับ ผมก็นั่งไปในรถนั่งไปอย่างนั้นความรู้สึกตอนนั้น ความเจ็บต่าง ๆ มันชาหมดไม่รู้เรื่องไปอีกทีตอนรถจอดเขาบอกให้เงยหน้าหายใจได้ ผมก็เงยขึ้นมาเค้าก็ต้อนเราลงปรากฏว่าว่าเป็นโรงเรียนพลตำรวจ นครปฐม ก็มองเห็นคนมายืนเกาะรั้วดู เราเข้าไปก็ยังให้เรานั่งศรีษะแอบชิดต้องติดกับหัวเข่าอยู่ตลอด เรานั่งกันอยู่ตรงนั้นนานแต่ก็ได้ยินเสียงดังบนอาคาร ก็เลยจริง ๆ แล้วยังไม่พร้อมที่จะนำเรามาขังตรงนั้นอาจเป็นหอพัก ของผมเค้าเรียกว่าร้อยสาม – กองร้อยที่สาม เรามองขึ้นไปเค้าให้เราเงยหน้าได้ ก็เห็นไม้ระแนงตีปิดหน้าต่าง ประตูป้องกันการหนี ป้องกันอะไร เค้าไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะรับพวกเราเค้าเลยต้องป้องกันการหนี  ป้องกันอะไรเค้าให้เราไปอยู่ข้างบน พอลงมานี่เค้าจะเรียกทีละคน ก่อนนั้นก็จะมีน้ำเป็นถังแบบถังซักผ้า และขันเบ้อเริ่มวางไว้ ให้เรากินน้ำ จริง ๆ แล้วมันเกือบจะทั้งวัน ทั้งคืนที่เราไม่ได้กินอะไรมาเราได้ทานอาหารเย็นตอนสองทุ่ม แล้วก็ทานไม่ได้เยอะ ทานได้นิดเดียว หลังจากนั้นก็ไม่ได้ทานก็คล้อยเย็นแล้วพอเราไปอยู่บนร้อยสาม ที่ว่า แล้วบนร้อยสามก็เป็นบล๊อค สักประมาณวาหนึ่งให้เราเข้าไปอยู่แล้วห้ามขยับ ตอนนั้นผมก็รู้ว่าสึกเจ็บที่ชายโครงที่ถูกเตะ พอหลังจากนั้นสามวันเขายอมให้  นักศึกษาแพทย์จาก ม.มหิดล ไปตรวจเช็ค ร่างกายเราได้เขาบอกวาซี่โครงอาจจะเดาะ แต่ว่ามันคงไม่เป็นอะไรมากหรอกพอเราไปอยู่บนชั้น 3 ประมาณ 3-4 ทุ่ม อาหารมื้อแรกเพิ่งจะมาเป็นแกงหมูเทโพที่ไม่มีหมู ข้าวก็เป็นคล้าย ๆ ปลายข้าวมาให้เรากิน แสดงว่าเขาไม่ได้เตรีมพร้อมอะไรเลย พวกเรากินกันสามทุ่ม สี่ทุ่ม ตอนนั้นผมก็มาหยิบกระเป๋าตังค์ดู ปรากฏว่าเงินหายหมด จนกระทั่งตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เราขอเข้าห้องน้ำก็จะมีตำรวจมาพาไปที่ละคนมีตำรวจคนหนึ่งมาเคาะประตูแล้วก็น้ำตาไหล  เห็นพวกเราแกก็ร้องให้แกก็บอกว่าแกก็เล่าสถานการณ์ เราก็อยากรู้ไปฟังกันตรงประตูเต็มไปหมด แกก็บอกว่าทาง สงัด ชลออยู่ ทำรัฐประหาร แล้วแกก็บอกว่าลูกของ นายตำรวจใหญ่ นครปฐมก็ถูกจับ แกก็เห็นพวกเราแกก็ร้องให้ แต่พอมีตำรวจอีกคนมา แกก็จะพวกเราไปประจำที่ ทำให้รู้ว่าเราก็มีมิตรอยู่บ้าง มาคอยเล่าคอยบอก เป็นอย่างนี้ อยู่จนกระทั่งวันที่สอง วันที่สาม เค้าก็เริ่มทำประวัติเราแล้วก็เอาเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยมาเริ่มถาม จนถึงวันที่ 4 ก็เริ่มให้มีการประกันตัว ผมได้รับการประกันตัวออกมาเป็นคนที่ 3 วันที่สอง ตอนหัวค่ำ เค้ามีกระดาษ และก็ดินสอมาให้เราจะเขียนจดหมายถึงใครก็ได้ ผมก็เลยเขียนจดหมายถึงเตี่ย ถึงแม่ ผมก็ยังยืนยันว่าผมเลือกทางของผมเอง ก็ไม่มีอะไรทั้งต้องหนักใจเพียงแต่ตอนนี้เสื้อผ้าไม่มีมันหนาว เพราะเราไม่ได้ใส่เสื้ออะไรทั้งสิ้น แล้วก็ผ้าห่มก็มีไม่กี่ผืน แต่ก็ได้รับประกันตัววันที่ 4 นี่เป็นเหตุการณ์ที่ผมเจอมา

คำถาม :                       เข้าใจว่าการชุมนุมครั้งนั้นเพื่ออะไร

คุณกมล :                     เพื่อขับไล่ถนอม ตอนนั้นถนอมบวชเป็นเณรเข้ามาตั้งแต่วันที่ 19 ก. ย.  ตอนนั้นเราก็มีการจัดชุมนุมย่อย เพราะเรารู้ว่าเค้า ต้องการจะปราบเรา พวกเราวิเคราะห์กัน เราชุมนุมกันไม่ให้ข้ามคืน และชุมนุมในสนามหลวง จนกระทั่งถึงวันที่ 2 มีกรรมกร มีเจ้าหน้าที่ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ถูกจับแขวนคอ ที่นครปฐม (คุณชุมพร  ทุมไมย กับวิชัย  เกษศรีพงศา) ถูกแขวนคอ เราก็รู้ว่าศูนย์นิสิต ถูกบีบให้มีการชุมนุมตอนนี้ผมก้มองว่า ศูนย์นิสิตก็พยายามป้องกันการถูกล้อมปราบ กระจายการชุมนุมกันไปเป็น 9 จังหวัดทั่วประเทศ แต่จริงแล้วศูนย์กลางใหญ่ก็ยังอยู่ที่ กทม.  แนวร่วมศิลปินก็ต้องกระจายออกไปเหมือนกัน เดินสายเล่น คาราวานก็สายอีสานกรรมาชนก็ไป กทม. ของ ม.เกษตร ก็อยู่ที่ธรรมศาสตร์

คำถาม :                       การชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ในตอนนั้นในการชุมนุมการสะสมอาวุธของนักศึกษาเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือเปล่า?

คุณกมล :                     เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เอาประเด็นนี้ก่อน ผมว่าตอนนั้นพวกเราก็อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ผมยอมรับว่าพวกเรายึดความคิดสังคมนิยมมากเพราะมันเหมือนกับทางเลือกของสังคมมีอยู่เพียง 2 ทาง คือ ไม่ทุนนิยม เผด็จการที่เราเคยเห็นมา คือ ก็มีความหวัง กับสังคมนิยมมันเหมือนกับทางเลือก เพียง 2 ขั้วให้เราเลือก ตอนนั้นเราก็ติดความคิดนี้แล้วก็ร่วมปฏิบัติงานให้กับกลุ่มองค์กรที่ มีความคิดทางนี้ด้วย แต่ถ้าถามว่าสะสมอาวุธนี้ผมว่าไม่มีการสะสมอาวุธแน่ แต่การต่อสู้ทางชนบท อาวุธในชนบทของพรรคคอมมิวนิสต์นั้นมีแล้วก็ยอมรับว่าในกลุ่มของคนปฏิบัติงาน มีหลายคนที่เราพอจะรู้ว่าเขาทำงานให้กับองค์กรพรรคคอมมิวนิสต์ ตอนนั้นเราถือเป็นเรื่องปกติ ถือว่าเป็นเรื่องนิยมชมชอบด้วยซ้ำไป ก็ได้ทำงานใกล้ชิดกับคนเหล่านี้

คำถาม :                       สมมุติว่าถ้าเราจะมองจากภายนอก จะมองการชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ว่าเป็นการก่อกบฎกับรัฐได้มั้ยฮะ

คุณกมล :                     ก่อการกบฎมันก็ต้องตีค่ากบฎนะ ถ้าตอนนั้นผมมองดูว่าเราก็ไม่ได้ยึดอำนาจไม่ได้อะไร มันไม่ได้เป็นกบฎนะครับส่วนใหญ่ เป็นการต่อสู้มากกว่า เราต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิ์ อย่างการชุมนุมชาวนาอะไรอย่างนี้ อย่างผมตั้งสหภาพ คำว่าสหภาพ สมัยก่อนเค้าก็ตีความว่าเป็นซ้าย บรรยากาศเมื่อก่อนกับทุกวันนี้ไม่เหมือนใช่มั้ยฮะ เพราะฉะนั้นคนที่จะก้าวเข้ามาเป็นกรรมการสหภาพต่าง ๆ ถ้าไม่ติดความคิดทางการเมือง ไม่กล้าที่จะลงมาอยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นถ้าบอกว่าเราต้องการที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลง อยากให้สังคมเปลี่ยนแปลงการปกครองมั้ย เราอยาก อยากให้เปลี่ยนแปลงจากระบอบเผด็จการเก่า ๆ ถึงแม้ประชาธิปไตย เราได้มาส่วนหนึ่งแล้วเราก็รู้ว่าทางกลุ่มเก่า เขาพยายามจะรื้อฟื้นอำนาจคืน เราต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงตรงนี้และเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ แต่ถามบอกว่าเราต้องการที่จะจับอาวุธไปล้มล้างเขาหรือ  สะสมอาวุธมันไม่มี นอกจากคนไหนที่สุกงอมทางความคิดมาก ๆ เสียสละมาก ๆ ก็เดินทางเข้าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ในป่า แต่ถ้าคนส่วนใหญ่ที่นั่นผมบอกว่าไม่ใช่

คำถาม :                        ปัจจุบันนี้ถ้ามีการชุมนุมประท้วงก็มักจะมีเสียงออกมาว่ามีพรรคการเมืองหนุนหลัง กรณี 6 ตุลา มีการชุมนุมประท้วงขับไล่ถนอม ข้ามวันข้ามคืน คิดว่ามีพรรคการเมืองใดที่นำการประท้วง

คุณกมล :                     ผมมองดูว่าถ้าเกิดการหนุนหลังด้วยกร  support  ที่เรียกว่ากำลังทรัพย์กำลังอาหาร กำลังคน ผมว่าพรรคการเมืองที่ผิดกฎหมายอย่างพรรคคอมมูนิสต์ หรือพรรคการเมืองที่ถูกกฎหมาย อย่างในเมือง ถ้าอยู่ทางซ้ายตอนนี้คือพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย แนวพรรคสังคมนิยมพลังใหม่ อะไรต่าง ๆ เหล่านี้ ผมว่าไม่มี ถ้าเกิดหนุนด้วยลักษณะอย่างนี้ไม่มี ผมมองดูศูนย์นิสิต ฯ ว่าเป็นองค์นำหรือแกนนำ ผมมองดูแล้วสิ่งที่ได้คือ การชี้นำมากกว่าสิ่งที่ผลักดันไปคือ ความคิดชี้นำ ไม่ได้ผลักดันด้วยแรงจูงใจ ด้วยคนมาให้ อานิส สินจ้าง support ด้วยอะไรต่าง ๆ เหล่านี้นะไม่ใช่ผมมองดูแล้วแนวคิดทางการเมือง นำไปมากกว่า

คำถาม :                       เมื่อกี้บอกว่าชอบสังคมนิยมอะไรประมาณนั้น หลังจากนั้นก็เข้าป่า

( อ. ชลธิรา )

คุณกมล :                   พอออกมาแล้วอยู่ได้สักระยะหนึ่งก็ถูกคุกคาม ถูกติดตามอะไรต่าง  ๆอยู่ที่ทำงานก็ถูกไปรื้อค้นอะไรต่าง ๆ เพื่อนก็ถูกจับไป อารมณ์ พงศ์พงัน ลักษณะ เอี่ยมประคุณอะไรต่าง  ๆ เหล่านี้ ซึ่งพวกนี้เขาบริสุทธิ์ ทางการเมืองมากว่าผมเค้าก็ถูกจับโดยผมเองก็มีเสียงเตือนมาซึ่งเป็นพี่เขยของเพื่อนซึ่งทำงานในส่วนหลัก ๆ ของมหาดไทย เขาบอกว่าผมบัญชีดำคนที่หนึ่งของประปาอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ แล้วมีเหตุการณ์ที่เอกชัย  หาญกมล  ถูกรถเมล์ รถเขียวเหลืองนี่แหละชนที่สะพานพระปิ่นเกล้าแกขับมอไซค์รถทับแกไปเลย แขนหักแต่ตำรวจไม่ทำอะไรเลยทั้งสิ้นกับคนที่กระทำความผิด เราก็เริ่มระวังมากขึ้นเพราะมีเหตุการณ์ที่ผมไปทำงานให้กับประปา เราออยู่ในสำนักงานใหญ่ เรานั่งทำงานอยู่เดี๋ยวสิงห์ทะเลทรายก็มาบล็อคประตูแล้วนำตำรวจมารื้อค้นอะไรต่าง ๆ ตอนที่ผมออกจากคุกมาแล้วบอกว่าถ้ามีอะไรเดือดร้อน เขาจะมาไล่จับอะไรต่าง ๆ ให้ผมหนีไปทางบันไดหนีไฟตึกการประปา พอมีอยู่วันหนึ่งที่รถสิงห์ทะเลทรายมา บล็อคพวกเราทีนั่งทำงานอยู่ก็แตกฮือกันไปหมด ผมก็วิ่งหนีไปทางบันไดหนีไฟ แกเอารถน้ำไปจอดรออยู่แล้วแกให้ผมปืนออกไปในรถน้ำ แล้วก็ขับรถอออกจากประปา แล้วมาปล่อยผมตรงรถไฟเขตตรงข้ามกรมโยธา ผมก็โทรเข้าไปติดต่อกับเพื่อนผลในที่สุดก็ตกลงกันว่าขอให้ผู้ใหญ่ คือหัวหน้ากองขอให้ส่งพวกเราไปอยู่จุดงานข้างนอก อย่างการควบคุมการก่อสร้างต่าง ๆ ที่นอกการประปาทั้งหมดเลยก็พวกกรรมการสหภาพ พวกผู้ก่อตั้งสหภาพที่อยู่ในสำนักงานใหญ่ผู้ใหญ่ของการประปาก็ส่งไปอยู่ตามงานต่าง ๆ ที่อยู่ภายนอกผมก็ถูกส่งไปดูงานอยู่ที่บางขุนเทียน เมื่อก่อนนั้น  ATM ไม่มีเวลาเรารับเงินเดือนก็ต้องไปรับที่สำนักงานใหญ่ มีอยู่วันหนึ่งผมไปรับเงินเดือนผมออกมาจากรับเงินเดือน นั่งรถเมล์บ้านผมอยู่บุคคโล ผมนั่งสาย 37 ผมออกมายืนรอรถเมล์ มีผู้ชายคนหนึ่ง  (คือตอนนั้นเราเดินตามลำพังก็ต้องระวังตัวอยู่แล้ว)  มีลักษณะแอบมองผม เหมือนกับมายืนมองอะไรต่าง ๆ ผมก็รู้สึกตัวก็ระวังตัวพอรถเมล์สาย 37 มาเราก็ขึ้นไป คือเราสนใจในทางนี้ก็มีการแนะนำ เวลาขึ้นรถเมล์ให้ขึ้นทางประตูหลัง จะได้เห็นภาวะวิสัยข้างหน้าทั้งหมด เราขึ้นประตูหลัง คนนี้ก็วิ่งขึ้นผมก็ว่าคนนี้ท่าทางไม่ดีนะ มอง ๆ เรา ผมก็พยายามหลบ ๆ แทรกไปอยู่ในหมู่คนที่อยู่ข้างหน้า พอถึงวงเวียนใหญ่รถจอดในวงเวียนใหญ่ผมก็ลงเค้าก็ลง แล้วผมก็เดินจากวงเวียนใหญ่ไปจนถึงหน้าโรงหนังสุริยา ที่ตรงข้ามโรงหนังสุริยา รถสาย 37 คันเดิมมาผมก็ขึ้น คนนี้ก็ขึ้นอีก ผมนึกไว้ไอ้นี่ตามเราผมนึกด่าในในเลย “ ไอ้เหี้ยนี่ตามเรามา” ผมนึกว่าจะทำอย่างไรดี พอถึงหน้าบ้านผมในซอยมันเปลี่ยวผมก็ไปอีกซอยหนึ่งไปลงที่ซอยโคบอลน์ เมื่อก่อนคนลงกันเยอะแล้วผมก็ข้ามถนนเขาก็ข้าม มันมีร้านกาแฟอยู่ ก็ไปนั่งร้านกาแฟเขาก็เดินเตร่ไปเตร่มา อยู่หน้าร้านสักชั่วโมงหนึ่ง ผมไม่หนีเขาแล้ว ผมก็อออกหลังร้านกาแฟก็เดินอ้อมซอยข้ามถนนกลังเข้าบ้าน แล้วก็เล่าให้พรรคคอมมูนิสต์ฟังว่าอย่างนี้เขาก็บอกว่าเหตุการณ์อย่างนี้เขาคงต้องการข่มขู่เราว่าเราทำอะไรอยู่ก็ให้เลิก ให้เรากลัวพอจากนั้นอีกสักสัปดาห์กว่า ๆตอนนั้นผมทำงานอยู่กับประปาผมขับมอเตอร์ไซด์ของการประปานครหลวง แล้วก็การดูงานการคุมงานเมื่อก่อนจะมีเคอร์ฟิวสองทุ่มห้ามออกจากบ้าน แล้วการประปาจะทำใบอนุญาตขอเป็นใบอนุญาตให้เราติด สำหรับที่ถ้าเรากลับบ้านไม่ทัน เราจะได้ไม่ต้องถูกจับเมื่อก่อนผมทำงานอยู่ที่บางขุนเทียน แล้วขับมอเตอร์ไซค์มาทุ่มกว่า ๆ ยังไม่ถึงเวลาเคอร์ฟิว ตรงที่ลงมาจากสะพานกรุงเทพฯ สามแยกมไหศวรรย์ เมื่อก่อนเป็นสามแยกไม่ได้เป็นสี่แยกอย่างทุกวันนี้รถติดไฟแดงผมขับมอเตอร์ไซด์อยู่ผมก็ชะลอตอนนั้นแสงไฟมันจ้า สว่างมากเลยไล่หลังมา คือเราระวังตัวอยู่แล้วที่เอกชัยก็ถูกชนอะไรต่าง ๆเหล่านี้ เราก็ระวังตัวอยู่แล้ว ก็ขับมอเตอร์ไซด์ขึ้นทางเท้าไปเลย ปรากฎว่ารถสิบล้อมันวิ่งผ่านฉิวตัดไฟแดงวิ่งไปเลย คือถ้าเราจอดอยู่นั้นสงสัยถูกสิบล้อนี้  มีความรู้สึกว่าเราไม่ปลอดภัยแล้ว วันรุ่งขึ้นตีสี่ผมก็เอามอเตอร์ไซด์ไปจอดที่ออฟฟิศที่บางขุนเทียน แล้วก็โยนกุญแจมอเตอร์ไซด์เข้าไปในนั้น ผมก็หลบไปเลยแล้วหาทางติดต่อเข้าป่า

คำถาม :                       ที่บอกว่ารถสิงห์ทะเลทราย

( อ. ชลธิรา )

คุณกมล :                     เป็นรถตำรวจที่ไปรื้อค้นสหภาพ รื้อค้นโต๊ะทำงานต่าง ๆ

คำถาม :                       ทำไมเขาถึงทำได้

( อ. ชลธิรา )

คุณกมล :                     ไม่แน่ใจบรรยากาศอย่างนั้นจริง ๆ แล้วก็ทำอย่างนั้นทุกที

คำถาม :                        แล้วผู้ใหญ่ของประปาตอนนั้นเป็นใคร

( อ. ชลธรา )

คุณกมล :                     ผู้ว่า ( บรรจบ  สุภกิจวิเรทการณ์ ) ความรู้สึกของเราคือเค้ายืนตรงข้ามเราแต่ก็มีผู้ใหญ่หลาย ๆ คนที่เค้าเมตตาเรามีอะไรเค้าก็ให้ความช่วยเหลือแต่ตอนนั้นยังเป็นผู้บริหารระดับกลาง

อ. ใจ :                         คงจะมีแค่นี้แต่ถ้าคิดอะไรออกก็ติดต่อกลับมาได้นะครับ